Read Full Entry(สามารถเปลี่ยนตรงนี้เป็นอ่านต่อ ได้)

Read More

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

Wednesday, November 10, 2010

[SF]Do You Love Me? Special ศึก ซิมบ้า Vs ชิมมิน

“ไอ้ชางมินแกทำอะไรน้องช้านนนนนนนนนนนนนน”
.
.
.
.

นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายของพี่ชายเมื่อชั่วโมงที่แล้ว ตอนนี้ผมกับพี่ชางมินนั่งเป็นนักโทษที่รอการสอบสวนอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก โดยมีพี่ชายที่นั่งจ้องหน้าพี่ชางมินอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อเหมือนพี่ชางมินไปข่มขืนลูกสาวของพี่ชายแล้วโดนจับได้อย่างไรอย่างนั้น ส่วนพี่ชางมินยังนั่งนิ่งจ้องหน้าพี่ชายกลับไม่สะทกสะท้านกับรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาตัวพี่ชายซักนิด ผมมองทั้งสองคนสลับกันไปมา ไม่มีคำพูดหลุดออกมาจากปากของทั้งคู่ นานเกินไปแล้วกับสงครามสายตานั่งจ้องหน้ากันไปมาอย่างนี้แล้วเมื่อไหร่จะรู้เรื่องกันซักที

แล้วความอดทนของผมก็หมดลง…

“ระวังท้องนะฮะ”อดประชดเล็กๆไม่ได้ ทำให้พี่ชายกับพี่ชางมินหันมามองผมตาขวางก่อนจะกลับไปจ้องตากันต่อ แล้วพูดออกมาเสียงดังฟังชัดว่า

“ไม่!!”

“แล้วจ้องตากันไม่เลิกอย่างนี้เมื่อไหร่จะได้คุยกันซักทีละ”

“.........”เงียบเป็นคำตอบที่ไม่อยากได้เลยสักนิด ทำเอาชเวมินโฮปวดหัว ตอนนี้เขาหิวจนจะกินช้างได้ทั้งตัวอยู่แล้ว แต่พี่ชายกับพี่ชางมินกลับมานั่งมองตาทำซึ้งกันอยู่ได้

“พี่สองคนนั่งรอผมอยู่ตรงนี้ก่อนนะฮะ เดี๋ยวผมมา”พูดจบก็ลุกขึ้นยืนทันที แม้จะยังรู้สึกเจ็บจากกิจกรรมเมื่อคืน แต่อารมณ์หิวมันมีมากกว่าจึงทำให้มองข้ามความรู้สึกเจ็บนี้ไปเสีย แต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวขาออกจากห้องรับแขกมือสองข้างก็ถูกฉุดไว้โดยคนสองคน

“จะไปไหน/จะไปไหน”สองเสียงถามขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ทำเอามินโฮระอาใจ....ทีอย่างนี้มาทำเป็นสามัคคีกัน

“จะไปกินข้าว หิว!! ถ้าพี่สองคนไม่หิวก็จ้องกันต่อไป แต่ผมหิวแล้ว ปล่อย!!”มินโฮสะบัดแขนเพื่อให้หลุดจากการเกาะกุมของพี่ชายและคนรัก แต่นอกจากจะไม่ปล่อยมือให้เขาไปทานข้าวแล้วยังหันไปจ้องกันต่ออีก
“ปล่อยมือน้องชายฉันเลย ชิมชางมิน!”คุณพี่ชายคนดียื่นมือข้างที่ว่างไปดึงมือของน้องเขยที่ตัวเองไม่ได้เต็มใจอยากให้เป็นซักนิดออก ส่วนน้องเขยตัวดีก็ไม่แพ้กันหึงแม้กระทั่งมือของพี่ชายคนรักเลยเกิดศึกแย่งมือชเวมินโฮแทนสงครามจ้องตา

“พี่นั่นแหละ ปล่อยมือเมียผมเลย! ปล่อยๆ”ชางมินยื่นมืออีกข้างไปตีมือของซีวอนเพื่อให้ปล่อยมือของมินโฮออก

“เฮ้ย!! พูดให้มันดีๆ ใครเมียแก”

“ก็ยืนทำหน้าน่ารักอยู่นี่ไง อย่างพี่ผมไม่เอามาทำเมียหรอก”

“ไม่ว้อย น้องชายฉันไม่ได้เป็นเมียใครทั้งนั้นแหละ มินโฮปล่อยมือมันเดี๋ยวนี้ !!”เมื่อทำให้อีกคนปล่อยมือไม่ได้ก็หันมาสั่งน้องชายตัวเองแทน

“อย่านะมินโฮ อย่าปล่อยมือพี่นะ”ชางมินก็ไม่ยอมน้อยหน้าส่งสายตาอ้อนวอนเต็มที่ โดยไม่ได้มองหน้าคนที่ถูกดึงไปดึงมาว่าทำหน้าอย่างไรอยู่

“.......”

“ปล่อยเดี๋ยวนี้นะมินโฮ”

“……”

“อย่าปล่อยนะมินโฮ”

“……..”

“ปล่อย!! / อย่า!!”

“พอสักที!!”เมื่อเส้นขีดความอดทนมาถึงที่สุดอีกครั้งมินโฮก็นะโกนออกมาสุดเสียง และได้ผลคนกำลังแย่งน้องชายกับคนรักหยุดทันที และพร้อมใจกันมองหน้ามินโฮอีกครั้ง

“ผมไม่ปล่อยมือใครทั้งนั้นแหละ”

“นี่เราจะขัดคำสั่งพี่หรอ”ซีวอนถามมินโฮเสียงเข้ม...ต้องข่มไว้ก่อนโว้ย...

“โอ้ยย ผมไม่ขัดคำสั่งหรือขัดใจใครทั้งนั้นแหละ ก็ผมไม่ได้จับมือใครจะให้ผมปล่อยได้ยังไง พวกพี่สิต้องปล่อยมือผม ปล่อย”พูดจบก็สะบัดมือทั้งสองข้างให้หลุดออกอีกครั้ง แต่มือของทั้งสองคนกลับติดแน่นไม่ยอมหลุดเสียที

“แกปล่อยก่อน”ซีวอนพยักเพยิดให้ชางมินปล่อยก่อนตน

“ไม่ พี่ปล่อยก่อนสิ”

“ไม่ต้องเกี่ยงกัน ปล่อยพร้อมกันทั้งสองคนนั้นแหละ”อีกครั้งที่มินโฮต้องเบรคทั้งคู่ก่อนที่จะเถียงกันไปมากกว่านี้

“ถ้าใครไม่ปล่อย...ไม่ต้องมาคุยกับผมอีกเลย”ร่างบางยื่นคำขาดและดูเหมือนจะได้ผล เพราะมือทั้งสองข้างถูกปล่อยออกราวว่ามือของตนเป็นของร้อนที่ไม่น่าแตะต้องเอาเสียเลย

“ดี ทีนี้ก็ไปทานข้าวได้แล้ว”คราวนี้ไม่มีคำปฏิเสธใดๆให้ได้แสลงหู มินโฮเดินนำมาที่โต๊ะอาหารก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ตัวเดิมที่นั่งอยู่เป็นประจำตามมาด้วยชางมินที่นั่งหัวโต๊ะ และซีวอนนั่งฝั่งตรงข้ามกับมินโฮ บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเหมือนจะเป็นไปได้ด้วยดี หากไม่ติดที่ผู้ร่วมโต๊ะอีกสองคนกำลังกัดกันทางสายตาอีกแล้ว มินโฮถอนหายใจออกมาน้อยๆสงสัยอาหารเช้ามื้อนี้เขาคงไม่ได้ทานมันอย่างมีความสุขแน่ๆ ถ้าร่างสูงทั้งสองคนยังไม่เลิกทำอะไรแบบนี้

“ทานเนื้อเยอะๆนะมินโฮ พี่ว่าเราผอมเกินไปแล้ว”คุณพี่ชายว่าพลางตักเนื้อลงบนจานน้องชาย

“ขอบคุณครับ”ยังไม่ทันจะได้ตักข้าวเข้าปาก เสียงของชางมินก็ดังขัดขึ้น

“มินโฮไม่ผอมซักหน่อยหุ่นกำลังดีเลย ทานกุ้งนี่ดีกว่า ทานเนื้อเยอะๆเดี๋ยวจะย่อยลำบาก”คุณน้องเขยว่าพลางตักกุ้งตัวโตวางลงบนจานให้คนรัก

“ขอบคุณฮะ พี่ชางมิน”ร่างบางกล่าวขอบคุณเบาๆก่อนจะก้มหน้าที่เริ่มจะเป็นสีชมพูลงมองจานข้าวของตัวเอง..ก็พี่ชางมินไม่ค่อยทำอะไรแบบนี้กับเขาเท่าไหร่เลยนี่นา... ชางมินยิ้มให้กับท่าทางของมินโฮแล้วหันไปยักคิ้วให้ซีวอนด้วยท่าทีเป็นต่อ

“พี่ว่ากินนี่ดีกว่ามีประโยชน์”

“ไม่ๆกินนี่กว่าจะได้แข็งแรง”

“นี่ดีกว่า”

“ไม่ๆนี่ดีกว่า”

“หยุด!! พอเลยทั้งสองคน”เมื่อทนไม่ไหวมินโอจึงลุกขึ้นห้ามศึกแย่งกันตักกับข้าวใส่จานของเขาเสียจนพูนจาน อาหารหลากชนิดลงมากองอยู่ในจานใบเดียว...คิดไว้แล้วเชียวข้าวมื้อคงไม่สงบสุขแน่ๆ ซีวอนกับชางมินหน้าซีดเพราะมินโฮโมโหขึ้นมาจริงๆแล้ว

“พวกพี่เล่นอะไรกันเนี่ย ทะเลาะกันเหมือนเด็กไปได้ ผมทนไม่ไหวแล้วนะ”ฮึ่ย..โมโห หิวก็หิว ถ้าเกิดวันนี้พี่ชายกับพี่ชางมินไม่ยอมคุยกันให้รู้เรื่องไป ชีวิตเขาจะสงบสุขได้ไหมเนี่ย และเหมือนจะคิดอะไรออกร่างบางจึงหันไปหาชางมินแล้วเรียกเสียงห้วน

“พี่ชางมิน”

“ครับ มินโฮ”เมื่อถูกเรียกก็ขานรับทันทีท่าทางเหมือนคนกลัวเมีย แตกต่างจากเมื่อคืนเป็นคนละคน

“เอากุญแจห้องทำงานของพี่มา”

“เอ๋?? มินโฮจะเอาไปทำไมหรือครับ”ถามเพราะสงสัยจริงๆ ว่าร่างบางที่แทบไม่เคยก้าวเท้าเข้าไปในห้องทำงานของเขา วันนี้จะเอากุญแจของห้องทำงานไปทำไมกัน

“เอามาเถอะน่า หรือว่า...ให้ผมไม่ได้”พอคิดได้อย่างนั้นร่างบางก็เบะปากออกเหมือนจะร้องไห้

“โอ๋ๆ พี่เดี๋ยวไปหยิบให้นะครับ”เห็นอย่างนั้นชางมินรีบลุกขึ้นไปหยิบกุญแจมายื่นให้กับร่างบาง มินโฮยิ้มกว้างพอใจที่ร่างสูงยอมตามใจ ก่อนส่งยิ้มหวานไปให้ซีวอนกับชางมิน แต่สำหรับทั้งสองคนแล้วรอยยิ้มแบบนี้เหมือนมันไม่ค่อยจะน่าไว้ใจเลย

^_____^ >>> มินโฮ

^_____^! >>> ซีวอน/ชางมิน

“พี่ซีอนฮะ ~”

“พี่ชางมิน~”

มินโฮเรียกทั้งสองเสียงหวานจ๋อยมันคงจะน่าเคลิ้มตามอยู่ไม่น้อยถ้าตอนนี้ไม่มีรังสีไม่น่าไว้ใจแผ่ออกมาจากตัวมินโฮเต็มไปหมด มันเหมือนทะเลก่อนจะมีพายุยังไงยังงั้น เงียบๆนิ่งๆแบบนี้แหละแล้วสุดท้ายก็จะกลายเป็นพายุลูกใหญ่ที่ทำลายทุกอย่างไม่เลือก

“อิ่มกันแล้วใช่มั้ย ^____^”

ถามไปอย่างนั้นแหละ จะกินอิ่มกันได้ยังไงก็มัวกัดตลอด พลอยทำให้เขาไม่อิ่มท้องไปด้วย...มันน่าโมโหจริงๆ

“...........................” เงียบคือคำตอบ ซีวอนกับชางมินมองหน้ากันต่างคนต่างเกี่ยงกันตอบ จนคนมองเริ่มหงุดหงิด

ปังงงง

“ผมถามว่าอิ่มแล้วใช่มั้ย !!!”

“ใช่จ้ะ” มินโฮตบโต๊ะเสียงดัง ทำเอาพ่อยอดชายทั้งสองสะดุ้งโหยงรีบตอบเหมือนกับว่าถ้าตอบช้ากว่าแม้แต่เพียงนิดเดียวอาจจะไม่มีชีวิตรอดก็เป็นได้

“^____^ ก็ดีฮะ”

มินโฮส่งยิ้มกว้างมาให้อีกครั้งแต่ซีวอนกับชางมินทำได้แค่ยิ้มเจื่อนส่งกลับไปเท่านั้น

“ถ้าอิ่มกันแล้วพี่ชายกับพี่ชางมินช่วยไปที่ห้องทำงานได้มั้ยฮะ ผมมีเรื่องจะคุยกับพี่สองคนน่ะ”

“..............................”

“ผมถามว่าได้มั้ย!!!”

“ได้จ้ะได้ ไม่มีปัญหาเลยจ้ะ T^T” ทำไมวันนี้มินโฮดุจังฟ่ะ เมื่อคืนยังเป็นแมวน้อยอยู่เลยทำไมเช้ามากลายเป็นแม่เสือไปได้เนี่ย ...นั่นเป็นคำถามที่ชางมินทำได้แค่คิดในใจหากถามออกไป เขาอาจจะไร้หมอนข้างอุ่นๆให้กอดคืนนี้ก็เป็นได้

“ดีฮะ งั้นพี่สองคนก็ไปรอผมที่ห้องทำงานของพี่ชางมินได้เลยเดี๋ยวผมตามไป”

จัดการสั่งพี่กับคนรักเรียบร้อยมินโฮก็รอให้ทั้งสองคนเดินออกไปก่อนจะพูดอะไรบางอย่างกับคุณแม่บ้าน แล้วค่อยเดินตามไป

.

.

.

.

.

ส่วนทางด้านสองหนุ่มหลังจากที่ถูกสั่งให้มารอที่ห้องทำงานระหว่างทางซีวอนเป็นฝ่ายเปิดปากพูดขึ้นก่อน เพราะทนเก็บความสงสัยในตัวน้องชายคนเดียวไว้ไม่ไหว

“ชางมิน แกรู้มั้ยว่ามินโฮจะทำอะไร”ซีวอนขมวดคิ้วทำหน้าสงสัยเต็มที่ ...ก็มันน่าคิดนี่หว่า...ถึงมินโฮจะเอาแต่ใจแค่ไหนแต่ก็ไม่เคยขึ้นเสียงใส่เขาซักครั้ง แต่คราวนี้มาแปลก

“ก็อยู่ด้วยกัน พี่ไม่รู้แล้วผมจะรู้มั้ย” ชางมินตอบคำถามของรุ่นพี่ที่ตอนนี้เปลี่ยนสถานะเป็นพี่ชายของภรรยา(?)ด้วยเสียงเรียบๆแกมประชด...ถามอะไรไม่คิด...

“เฮ้ย!! นี่แกกวนประสาทฉันหรือไง” พอได้ยินคำตอบออกมาจากปากรุ่นน้องทำเอาลมออกหู ถึงจะรู้ว่าเจ้ารุ่นน้องคนนี้ชอบกัดเขาก็เถอะแต่ได้ยินมันพูดทีไรอารมณ์มันปรี๊ดทุกทีสิน่า แต่ชางมินดูจะไม่สนใจอาการโมโหของซีวอนแถมยังพูดจุดอารมณ์คนหวงน้องให้ปรอทแตกขึ้นมาอีกครั้ง

“อืมม ผมว่ามินโฮอาจจะพูดเรื่องเมื่อคืน” เน้นย้ำคำว่า”เมื่อคืน”ให้อีกคนได้คิดตาม พอทิ้งระเบิดไว้แล้วก็เดินหัวเราะอารมณ์ดีไปหน้าตาเฉย ปล่อยให้คนฟังยืนสั่นเป็นเจ้าเข้าเพราะไม่รู้จะทำยังไงกับเจ้ารุ่นน้องคนนี้ดี...แม่งเอ้ย เถียงกับมันทีไรไม่เคยชนะมันซักที เห็นแววว่าจะเสียน้องชายสุดที่รักให้กับชางมินอยู่รำไรพอนึกได้อย่างนั้นก็รีบสาวเท้าตามเจ้าของบ้านไปทันที

“เฮ้ย!! ไอ้ชางมินแกกลับมาพูดให้รู้เรื่องก่อนเซ่”

“พูด?? ผมว่าผมพูดชัดเจนแล้วนะ”

“ชัดเจนสำหรับแกคนเดียวน่ะสิ เมื่อคืนระหว่างแกกับมินโฮไม่ได้มีอะไร”

“ผมคิดอย่างนั้นไม่ได้หรอก ในเมื่อความจริงก็เห็นๆกันอยู่ หึ”

ชางมินตอกย้ำความจริงให้คนหวงน้องได้เจ็บไปถึงกระดูกเล่นเอาซีวอนสะอึก แถมยังยิ้มกวนอวัยวะเบื้องล่างอีก ซีวอนกระชากคอเสื้ออีกฝ่ายเข้ามาก่อนจะเงื้อมือขึ้น อยากต่อยไอ้เด็กปากดีเสียหน่อย แต่ก็ได้แค่คิดเพราะยังไม่ทันได้ทำอะไรกรรมการห้ามมวยก็เดินเข้ามาพอดี

“พี่!! จะทำอะไรน่ะ” มินโฮที่เห็นพี่ชายกำลังจะชกชางมินร้องขึ้นเสียงดัง ซีวอนรีบปล่อยมือจากเสื้อของชางมินทันทีแล้วยังจัดเสื้อที่มันยับให้เข้าที่อีกต่างหาก

“ปะ เปล่าจ้ะ เราแค่เล่นกันเฉยๆ เนอะชางมินเนอะ”หลักฐานคาตาแต่ก็ยังปฏิเสธ แล้วกอดคอรุ่นน้องคนสนิทบอกมินโฮเป็นนัยๆว่า..เราไม่ได้ทะเลาะกันเล้ย มินโฮมองหน้าพี่ชายอย่างไม่เชื่อคำพูดที่ได้ยิน ก็อยากจะเชื่ออยู่หรอกแต่ขนาดเขาอยู่ด้วยยังกัดกันได้ตลอด เฮ้อ...ที่คิดว่าจะขังไว้ในห้องให้ได้คุยกันไม่ฆ่ากันตายเลยหรือไงนะ

“แล้วมินโฮมีเรื่องอะไรจะคุยกับพี่หรือ?” ซีวอนเห็นน้องชายมองตัวเองด้วยสายตาไม่เชื่อในคำแก้ตัวจึงรีบเลี่ยงไปเรื่องอื่นแทน

“อ๋อ..คือผมแค่อยากให้พี่สองคนคุยกัน”

“คุย?? พี่กับไอ้ชางมินเนี่ยนะ” ซีวอนเอานิ้วจิ้มที่หน้าอกตัวเองแล้วชี้ไปที่ร่างสูงอีกคนเพื่อเป็นการยืนยันว่าตัวเองนั้นเข้าใจได้ถูกต้อง

“ใช่ฮะ ผมอยากให้พี่สองคนคุยกันดีๆ แล้วก็เลิกทะเลาะกันเสียที”

“แต่พี่ไม่...”

“ไม่อะไรฮะ พี่จะบอกว่าไม่ได้ทะเลาะกันงั้นหรอ แล้วตั้งแต่เช้าจนมาถึงตอนนี้มันคืออะไร” มินโฮไม่ปล่อยโอกาสให้ซีวอนได้ทักท้วงอะไร ภาพที่คุณหนูมินโฮยืนบ่นหรือจะเรียกว่าสั่งสอนดี ให้พี่ชายกับคุณชายของบ้านทำเอาบรรดาคนรับใช้ที่อยู่แถวนั้นอดยิ้มปนขำไม่ได้ เพราะอย่างที่รู้ๆกันดีว่าคุณซีวอนไม่ชอบให้ใครขัดใจ และคุณชายชางมินเองก็ไม่เคยทำอะไรผิดพลาดถึงกับต้องมีคนมาบ่นให้ขนาดนี้ ดังนั้นการได้เห็นทั้งสองคนหน้าจ๋อยสนิทพูดไม่ได้ทำอะไรก็ไม่ได้ คงเป็นภาพที่หาดูได้ยากที่สุด อย่างนั้นแล้วก็ขอดูให้เต็มตาจะเป็นไร ในขณะที่เกิดเหตุการณ์คนใช้มุง คนเป็นเจ้านายและรุ่นพี่คนสนิททำได้ตอนนี้คงจะเป็น”ฟัง”กับ”เชื่อฟัง”กระมัง ไม่อย่างนั้นคงได้ง้อคุณหนูมินโฮกันอีกยาว

“คุยกันให้รู้เรื่องซะนะฮะ ^___^”

“ครับ/ครับ” สองเสียงตอบรับแข็งขันประดุจว่าตัวเองเป็นทหารแล้วได้รับคำสั่งจากเจ้านายก็มิปาน

“แล้วห้ามพี่สองคนออกจากห้องจนกว่าผมจะมาเปิด อ่อ..แล้วก็ห้ามหนีเด็ดขาด...ไม่งั้นตาย” เน้นหนักๆคำสุดท้าย ทำเอาคนฟังเสียวสันหลัง

“อย่าทำให้ผมผิดหวังนะฮะ ^ ^”

พูดกดดันจบแถมฉีกยิ้มน่ารักตบท้ายไปอีกรอบก่อนจะปิดประตูห้องพร้อมล็อกกุญแจเรียบร้อย แว่วเสียงร้องเบาๆดังลอดออกมา แต่กลับไม่ได้อยู่ในความสนใจของมินโฮแม้แต่น้อย ถึงจะรู้ว่าเจ้าเสียงนั้นเป็นพี่ชายคนเดียวของตัวเองก็ตาม

“ป้าจีอิน ห้ามเปิดประตูนะฮะ ขอผมอยู่สงบๆซักครึ่งวันก็ยังดี”

“ค่ะ คุณหนู” สั่งแม่บ้านพร้อมกับฝากกุญแจเรียบร้อยก็เดินขึ้นชั้นบนทันที...ไปนอนเอาแรงดีกว่าเปลืองพลังงานกับพี่ซีวอนพี่ชางมินไปเยอะ หวังว่าคงไม่กัดกันตายซะก่อนนะ

.

.

.

.


ย้อนมา ณ ห้องทำงานของชางมินที่ที่สองหนุ่มถูกขังเอาไว้(เวอร์ซะ)

“มินโฮฮฮฮฮฮฮ” เสียงร้องโหยหวน(?)ยังดังอยู่หลังจากที่ประตูปิดลง คุณชายซีวอนผู้เนี้ยบทุกกระเบียดนิ้วยืนเกาะประตูบานเดิมพร้อมร้องเรียกชื่อน้องชายอยู่ไม่ขาดปาก เรียกสายตาระอาใจจากคนอายุน้อยกว่าได้เป็นอย่างดี...อายุก็ไม่ใช่จะน้อยๆแล้ว เฮ้ออ ก็ทำไปได้นะคนเรา...ชางมินได้แต่คิดอยู่ในใจ ก่อนจะส่ายหน้าบอกให้รู้ว่ารับไม่ได้อย่างแรงแล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงาน หยิบเอกสารนู่นนี่ขึ้นมาดูระหว่างรอให้ใครอีกคนที่ยังบ้าไม่เลิกได้เลิกทำอะไรเป็นเด็กๆแล้วกลับมาคุยกับเขาให้มันจบๆไป แต่เวลาผ่านไปนานหลายนาทีแล้วอีกคนกลับไม่มีวี่แววว่าจะเลิกทำท่าอุบาทว์ๆนั่นเสียที จนเขาเริ่มจะทนไม่ไหว

“พี่จะทำอย่างนั้นอีกนานมั้ย ถ้าไม่ก็หันมาคุยกัน แต่ถ้าทำต่อไปผมจะได้ทำอย่างอื่นที่มันดีกว่าการมานั่งมองพี่ทำอะไรบ้าๆอย่างนี้” หลังจากคาดการณ์ดูแล้วว่าซีวอนคงจะไม่หยุดง่ายๆจึงได้เอ่ยปากถามออกไป เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรถึงทำแบบนี้และเขาเองก็ไม่ได้อยากรู้ด้วย สิ่งเดียวในตอนนี้ที่อยากจะทำคือการคุยกับซีวอนเรื่องของมินโฮให้เรียบร้อย เขารู้ว่าที่เขาทำกับมินโฮมันผิดต่อซีวอนที่ไว้ใจฝากน้องชายคนเดียวให้เขาดูแล แต่เขาก็หวังว่าซีวอนจะเข้าใจ...

“แล้วใครใช้ให้แกมองเล่า”ไม่ใช่แค่พูดอย่างเดียวยังแถมค้อนงามๆถวายไปอีกดอก...ถ้าคนทำเป็นมินโฮก็ว่าไปอย่าง แต่...คนที่ทำเป็นซีวอน เขาบอกได้คำเดียวว่ามันอุบาทว์มาก

“เฮ้ออ ช่างเถอะ ว่าแต่พี่จะหันหน้ามาคุยกับผมได้หรือยัง”ชางมินถอนหายใจอย่างหนักอกพร้อมกันส่ายหน้าเอือมระอากับรุ่นพี่คนนี้เหลือเกิน ชอบทำอะไรไม่เข้ากับตัวแล้วยังไม่เข้ากับอายุตัวเองอีกต่างหาก

“แล้วแกจะคุยเรื่องอะไรล่ะชางมิน”คิดจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนทำเอาอีกคนตามอารมณ์แทบไม่ทัน เงยหน้าขึ้นมามองซีวอนนึกแปลกใจที่จู่ก็ทำสีหน้าจริงจังขึ้นมา แต่อย่างนั้นก็ยังตีหน้านิ่งได้เป็นอย่างดี

“ผมว่าพี่รู้ดีอยู่แล้วนะ”คำพูดสั้นๆแต่กลับทำให้บรรยากาศในห้องอึดอัดขึ้นมาได้ทันตา ก่อนที่ซีวอนจะเป็นพูดขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ

“ก็ดี คุยกันให้จบๆไป”

“....................”ชางมินยังคงเงียบรอฟังสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังเอ่ยออกมา เขาเองก็อยากรู้ว่าซีวอนจะทำยังไงกับเรื่องนี้ ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าซีวอนไม่ทางปล่อยให้เรื่องมันผ่านไปง่ายๆอย่างแน่นอน แต่สิ่งที่เขาไม่อยากคาดเดาคือวิธีการของอีกฝ่ายต่างหาก

“ฉันจะพามินโฮไปฝรั่งเศสด้วย”

“ไม่ได้!!”ทันทีที่ได้ยินคำตอบชางมินก็ปฏิเสธเสียงดัง..ใครยอมก็บ้าแล้ว

“ทำไมจะไม่ได้ก็ในเมื่อฉันเป็นพี่”

นั่นสินะ…แต่อย่างไรเขาก็ไม่ยอม

“ที่มีสิทธิ์ตัดสินใจทุกอย่างแทนมินโฮ…”

มันก็ใช่...แต่เขาไม่มีทางยอมแน่

“แล้วแกล่ะชางมิน....เป็นใคร หึ”

เพราะว่า...เขาก็ยังมีสิทธิ์อย่างหนึ่ง....สิทธิ์...ที่มีไว้สำหรับเขาคนเดียว


“ผมเป็นคนที่มินโฮรัก แล้วก็เป็นคนที่รักมินโฮ”

“.....................”

“มันเป็นสิทธิ์ที่มีค่าพอหรือเปล่า”

“.....................”

ชางมินมองหน้าอีกฝ่ายคาดคั้นเอาคำตอบ แต่ซีวอนนอกจากไม่ตอบแล้วยังเบือนหน้าหนีหลบสายตาที่คล้ายจะร้องขอความเห็นใจจากเขาไปเสีย…ได้แต่คิดในใจว่า...ไม่ได้ ยังใจอ่อนตอนนี้ไม่ได้

“ผมถามว่าได้หรือเปล่า!!”

“ไม่!! มันเร็วไป”

“อะไรคือเร็วไป”

“ความรัก...สำหรับมินโฮมันเร็วไป”

“พี่แน่ใจหรือว่ามันเร็วเกินไปสำหรับมินโฮ...ไม่ใช่พี่ตัวเอง!!”

“ใช่!!ฉันไม่เถียง แต่ไม่ว่าจะกับฉันหรือมินโฮมันก็เร็วไปทั้งนั้น”เหมือนจะถูกพูดแทงใจดำและทั้งยังถูกอีกฝ่ายมองออกจึงได้ยอมรับออกมาตรงๆ...เพราะชางมินรู้อยู่แก่ใจดีว่าเขาทั้งรักและหวงน้องชายคนเดียวมากขนาดไหน ไม่แปลกที่คนที่รู้จักกันนานอย่างชางมินจะมองเขาเรื่องของมินโฮได้ทะลุปรุโปร่ง...ปฏิเสธไปก็ไร้ประโยชน์สู้ยอมรับไปเสีย แล้วค้านกันด้วยเหตุผลจะดีกว่า

“มินโฮอายุแค่สิบเจ็ด ยังมีเวลาและโอกาสที่จะเจอใครอีกหลายๆคน...คนที่ใช่สำหรับแกอาจจะใม่ใช่เขาและคนที่ใช่สำหรับเขาอาจจะไม่ใช่แกก็ได้” ชางมินหลับตาสูดลมหายใจเข้าเพื่อระงับอารมณ์โกรธ เขาเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายรักน้องชายมากแค่ไหน แต่ซีวอนกำลังดูถูกความรักและความจริงใจของเขาอยู่...ที่ผ่านมามันไม่ได้พิสูจน์อะไรให้คนๆนี้เห็นเลยหรืออย่างไรกัน

“พี่พูดบ้าอะไรของพี่กัน!!” ชางมินไม่อยากจะเชื่อว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรแบบนี้ออกมา ทั้งๆที่ผ่านมาซีวอนรู้ดีที่สุด แต่ทำไม....

“ฉันก็แค่พูดในสิ่งที่ฉันคิดและรู้สึก มันยังเร็วเกินไปที่บอกว่าความรู้สึกที่มินโฮมีให้แกเป็นความรัก เพราะมินโฮเจอแค่แก อยู่แต่กับแก ลองปล่อยให้เขาไปเจอคนอื่นบ้าง พิสูจน์สิ...ชางมิน ให้เวลาเป็นเครื่องตัดสินว่านั่นเป็นความรักจริงๆ” ดูเหมือนสิ่งที่ซีวอนพูดออกมาจะทำให้ชางมินได้คิดอยู่ชั่วขณะ และทำให้คนเป็นพี่ยิ้มมุมปากเมื่อเห็นอีกคนคิดตาม การรั้งน้องชายให้ออกห่างจากชางมินอีกครั้งคงสำเร็จ แต่แล้วยิ้มน้อยๆนั้นกลับต้องหุบลงเพราะเสียงเบาๆที่ลอดออกมาจากปากของอีกฝ่าย

“แค่...นาทีเดียว”

“......................”

“แค่นาทีเดียว...เขาก็รักผมได้ เหมือนกับที่ผมรักเขานั่นแหละ”

“!!!”

“พี่ก็เอาแต่คิด เรียกร้องแต่สิ่งที่พี่ต้องการ แล้วพี่เคยคิดที่จะถามคนอื่นบ้างหรือเปล่าว่าเขาต้องการอะไร”คำถามที่เหมือนจะโดนใจคุณพี่ชายเข้าไปเต็มๆ ทำเอาซีวอนสะอึกพูดไม่ออก แต่ก็ยังดึงดันต่อไปไม่ยอมแพ้กันง่ายๆ

“ฉันก็แค่อยากให้มินโฮได้สิ่งที่ดีที่สุดก็เท่านั้น”

“พี่ก็เลยเอาตรงนี้มาอ้างอย่างนั้นหรือ พี่จะมั่นใจได้ยังไงว่าสิ่งที่จะให้มินโฮมันเป็นที่ดีที่สุดแล้ว”

“มันต้องดีอยู่แล้วชิมชางมิน เพราะมันเป็นสิ่งที่ฉันเลือกให้”

“พี่มันเห็นแก่ตัว”

“ไม่ว่าใครก็เห็นแก่ตัวทั้งนั้นแหละชางมิน แม้แต่ตอนนี้นายเองก็ยังทำมันอยู่ หึ” นอกจากจะไม่เป็นเดือดเป็นร้อนกับคำกล่าวหาของอีกฝ่าย แต่กลับตอกกลับได้อย่างเจ็บแสบ

ใช่...อย่างที่ซีวอนพูดใครๆก็เห็นแก่ตัวทั้งนั้น ไม่เว้นแม้แต่ตัวเขาเอง ....จะทำอย่างไรดี ถ้าหากต้องห่างกับมินโฮอีกครั้ง คิดไม่ออกจริงๆว่าจะทำอย่างไรต่อไป ไหนใครๆก็บอกว่าชิมชางมินเก่ง...ไม่หรอก ชิมชางมินไม่ได้เก่งกาจอะไรเลย...เพราะแค่คนที่ตัวเองรักยังไม่รู้ว่าจะรักษาไว้กับตัวเองยังไง

“ไม่นานหรอกชางมิน ฉันสัญญาว่าจะคืนมินโฮให้กับนาย” เมื่อความเงียบความปกคลุมจนน่าอึดอัด ซีวอนจึงพูดแทรกขึ้น เพราะชางมินที่ทำหน้าคิดไม่ตก เขาควรจะฉวยโอกาสนี้เอาไว้ ต้อนให้ชางมินคิดไม่ออกและสุดท้ายคนที่จะชนะก็เป็นเขา...แน่นอน

“สัญญา?? พี่ยังกล้าพูดคำนี้กับผมอีกงั้นหรือ ครั้งนั้นพี่ก็สัญญา แล้วพี่ก็ผิดสัญญา!!”

“ครั้งสุดท้ายจริงๆชางมิน” ซีวอนยังยืนคำเดิมหนักแน่น เพราะไม่ว่ายังไงท้ายที่สุดแล้วชางมินจะยอมอยู่ดี

“คราวนี้จะอีกกี่ปีล่ะ หนึ่งปี ห้าปี หรือว่าตลอดไป??” คำถามกึ่งประชดถูกส่งออกมาให้กับคนที่ผิดสัญญาได้สะอึกเล่น จนซีวอนต้องรีบออกปากอธิบาย

“ไม่หรอก มันจะไม่นานขนาดนั้น ...นาย...เชื่อฉันสิ” ซีวอนจ้องตากับชางมินอย่างขอร้อง จนชางมินยังนึกแปลกใจว่าเหตุใดคุณที่ชายถึงต้องมาดึงดันทวงน้องชายคืนเอาตอนนี้ ถึงปกติจะเป็นคนที่ทั้งรักและหวงน้องชายอยู่เป็นทุนเดิมแต่ครั้งนี้ก็ออกจะแปลกเกินไปเสียหน่อย ถึงขนาดทะเลาะกับเขาเสียเป็นเรื่องราว ถ้าจะบอกว่าเป็นเพราะเรื่องเมื่อคืน แต่ซีวอนก็น่าจะรู้ดีที่สุดอยู่แล้ว ว่าอย่างไรเขาก็ไม่มีทางเลิกรักมินโฮ แล้วเพราะอะไรกันที่ทำให้ซีวอนทำอย่างนี้ อยากรู้จริงๆว่าเจ้ารุ่นพี่คิดอะไรอยู่ ถ้าอย่างนั้นคงต้องปล่อยก่อนสินะ แล้วเดี๋ยวค่อยไปทวงมินโฮคืน เพราะเขาเองถ้าต้องอยู่ห่างมินโฮนานๆได้ขาดใจตายก่อนแน่ สุดท้ายก็เป็นชางมินที่ต้องถอนหายใจออกเฮือกใหญ่....นี่เขาต้องยอมให้ไอ้รุ่นพี่คนนี้อีกแล้วหรือ…เฮ้ออ

“ก็ได้” คำตอบสั้นๆ แต่ทำให้คนที่รอคำตอบนั้นดีใจจนเก็บอาการเอาไว้ไม่อยู่ กระโดดโลดเต้น ยิ่งกว่าถูกหวยเสียอีก

“จริงหรือ!! ขอบใจนายมากชางมิน” แค่พูดไม่พอแถมยังดึงเขาเข้ามากอดรัดฟัดเหวี่ยง เหมือนกับก่อนหน้าเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านไม่ได้ทะเลาะกันอย่างไรอย่างนั้น ทำเอาคนถูกกอดรู้สึกขนลุกขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ จนต้องรีบสลัดตัวออกอย่างด่วน

“พี่จะดีใจอะไรนักหนา แค่พามินโฮกลับไปอยู่ผรั่งเศสด้วยเนี่ย??” ชางมินมองซีวอนอย่างจับผิด และคนถูกถามก็ทำท่าอึกอัก ก่อนจะส่งคำตอบที่คิดว่าดีที่สุดแล้วกลับไป

“กะ...ก็..ฉันได้มินโฮกลับไปอยู่ด้วย ไม่ได้เจอมินโฮมาตั้งปี จะได้อยู่ด้วยกันอีกแล้ว เย้...ดีใจริงๆ ฮ่าๆๆ งั้นฉันไปช่วยมินโฮเก็บของก่อนนะ พรุ่งนี้จะได้ขึ้นเครื่องแต่เช้า”

เพราะชางมินมั่วแต่อึ้งกับคำว่าพรุ่งนี้แต่เช้าอยู่ หันกลับไปเพื่อจะท้วงเรื่องเวลาที่กระชันชิดเกินไป แต่ก็ไม่ทันแล้ว เมื่อซีวอนได้ตะโกนบอกคุณแม่บ้านที่รออยู่ด้านนั้นให้เปิดประตู ออกไปจากห้องเรียบร้อยแล้ว

.

.

.

.

.

ซีวอนปาดเหงื่อพร้อมถอนหายใจอย่างโล่งอก หลังจากที่ออกมาจากห้องทำงานด้วยความเร็วเหนือแสง เพราะกลัวเจ้ารุ่นน้องที่มันสมองเป็นเลิศฉุกคิดและติดใจในตัวเขาขึ้นมา แล้วถ้าหากเขาโดนซักไซ้ไล่เรียงมากๆเข้าอาจจะหลุดอะไรออกไป แผนที่อุตส่าห์วางไว้ได้พังหมดแน่ ตัวเขาเองไม่ได้คิดจะจับมินโฮกับชางมินแยกกันเป็นจริงเป็นจังอะไร ก็แค่แกล้งทำเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการเท่านั้น ก็อย่างที่ชางมินพูดนั้นแหละ

เขามันเห็นแก่ตัว...ถึงขนาดทำลายความสุขของน้องชายคนเดียวได้ลงคอ

แต่แหม...เขาก็ไม่ได้เป็นพี่ใจร้ายขนาดนั้น บอกว่าจะคืนให้ก็คือจะให้จริงๆ แต่ที่บอกว่าไม่นาน...อันนี้มันก็อยู่ที่ความสามารถของนายแล้วล่ะ...ชางมิน ว่าจะทำให้ฉันสมหวังได้เร็วขนาดไหน

ที่รัก...ผมขอโทษนะที่ต้องใช้วิธีนี้...มันไม่ใช่ความผิดของผมเสียหน่อย....ก็ขอดีๆแล้วที่รักไม่ยอมเองนะ

ก็ต้องบังคับแบบนี้แหละ...

“ฉันขอโทษนะชางมิน แต่...ก็ถือว่าช่วยฉันเพื่อแลกกับมินโฮก็แล้วกัน” หันกลับไปพูดเบาๆกับประตูบานเดิมที่เพิ่งออกมา ก่อนจะเดินขึ้นชั้นบนเพื่อไปเก็บของให้น้องชายที่จะต้องกลับไปฝรั่งเศสกับเขาในวันพรุ่งนี้

.

.

.

.

.

แปลก....เป็นคำคำเดียวที่เขารู้สึกในตอนนี้ ซีวอนมาแปลก เขารู้สึกตะหงิดๆเหมือนจะมีเรื่องให้ปวดหัวต่อ เฮ้ออ...ถ้าอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับซีวอน มีคนคนเดียวที่จะตอบเขาได้ทุกคำถาม และตอนนี้คนคนนั้นก็เป็นที่พึ่งหนึ่งเดียวที่จะช่วยเค้าได้

....คิมฮีชอล....

ไว้เท่าความคิด ชางมินเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ก่อนจะกดโทรออกไปหาพี่ชายคนโตของตัวเอง ที่ตอนนี้คงกำลังแฮปปี้กับชีวิตสุดๆอยู่ที่อังกฤษ ไม่รู้ว่าป่านนี้จะรู้หรือยังว่าแฟนตัวเองหนีกลับเกาหลีมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว

ถือสายรอไม่นานก็มีคนรับ เสียงจากปลายสายฟังดูลัลล้าสุดๆ ....อะไรมันจะความสุขขนาดนั้น คิมฮีชอล

“ดีจ้า น้องรัก คิดไงโทรมาหาพี่คนนี้ได้ล่ะเนี่ย” คำถามประชดถูกส่งออกมาทันทีที่รับสาย เรียกรอยยิ้มน้อยๆจากชางมินได้เป็นอย่างดี

“ผมก็คิดถึงพี่ไง” พูดคำหวานหูให้ได้ยิน ทำเอาคนที่ถือหูอยู่คนละซีกโลกหัวเราะลั่น....

“ไม่ต้องมาพูดหวานๆให้พี่ดีใจเล่นหรอก มีอะไรก็พูดมาเลยดีกว่า” ชางมินหัวเราะน้อยๆ ดูพี่ชายจะรู้ทันเขาไปเสียหมด ดังนั้นแล้วก็คงไม่ต้องอ้อมค้อมแล้วมั้ง

“พี่ซีวอนกลับมาเกาหลี พี่รู้หรือเปล่า”

“กลับเกาหลี?? เมื่อไหร่??”ขมวดฉับทันทีที่ได้ยินคำบอกเล่ากึ่งคำถาม ก่อนจะถามกลับบอกให้ชางมินรู้ว่าสิ่งที่คาดไว้เริ่มเห็นเค้าความจริงขึ้นมาเสียแล้ว

“เมื่อคืน...”

“...........”เสียงจากปลายสายที่เงียบไปเหมือนกำลังครุ่นคิด ทำให้ชางมินนึกเอะใจ หรือจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างฮีชอลกับซีวอน แค่ลำพังซีวอนมาทำตัวแปลกๆแล้ว อาการที่ฮีชอลไม่รู้ว่าคนรักแอบหนีกลับเกาหลีแต่ไม่บ่นหรือโวยวายอะไรออกมานั้น....ก็ถือว่าแปลกยิ่งกว่า เพราะไม่ว่าซีวอนจะอยู่ที่ไหนหรือทำอะไรอยู่ คิมฮีชอลจะต้องรู้ทุกอย่าง แต่ตอนนี้ฮีชอลกลับไม่รู้อะไรเลย

“พี่กับพี่ซีวอนมีเรื่องอะไรกันหรือเปล่าครับ”

“ก็...จะว่าไปมันก็มีอยู่...นิดหน่อย”ตอบเสียงอ้อมแอ้มกลับมา ชางมินไม่ค่อยเชื่อกับคำว่านิดหน่อยเสียทีเดียว ตาคมหรี่ลงคล้ายจับผิดคนโกหกทั้งๆที่อีกฝ่ายไม่ได้นั่งอยู่ตรงนั้นก็ตาม

“พี่แน่ใจนะว่านิดหน่อย”

“อื้ม”

“ก็แล้วไป แต่ถ้าพี่มีเรื่องไม่สบายใจต้องบอกผมทันทีนะครับ ผมเป็นห่วงพี่นะ”น้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยถูกส่งให้กับคนปลายสายได้ยิ้ม ชางมินจะเป็นแบบนี้เสมอ แม้ไม่ค่อยพูดแต่ก็ใส่ใจอยู่เสมอ ถึงจะไม่ค่อยได้เจอกันอย่างที่พี่น้องควรเป็น แต่ความห่วงใยก็มีให้กันอยู่ไม่ขาด
“โอเค พี่จะรีบรายงานเราคนแรกเลยดีมั้ย”

สองพี่น้องคุยกันอีกไม่กี่คำก็วางสาย การโทรหาฮีชอลแม้จะไม่ได้ช่วยอะไรมากมาย แต่อย่างน้อยได้รู้ว่าที่
ซีวอนทำตัวแปลกๆปัญหามาจากฮีชอลไม่ผิดแน่....เฮ้ออ...รักกันมาได้ตั้งนานหลายปี ทำไมมาโกรธกันเอาตอนใกล้จะแก่น้า.... ชางมินนั่งคิดอะไรไปเรื่อยๆก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นอีกครั้ง เพื่อโทรออกไปหาคนที่สะสางปัญหาให้เขาได้เป็นอย่างดี

“คยูฮยอนช่วยอะไรฉันหน่อย”

.

.

.

.

.

ซีวอนค่อยๆเปิดประตูห้องของมินโฮให้เบามือที่สุด แล้วปิดลงก่อนจะเดินไปนั่งลงบนเตียงข้างๆคนที่ยังหลับอุตุอยู่บนที่นอนนุ่มๆ ซีวอนวางมือหนาลงบนกลุ่มผมนุ่มลื่นมือ ลูบผมน้องชายเบา รอยยิ้มอ่อนโยนระคนเอ็นดูถูกส่งให้คนที่ยังหลับใหล

“มินโฮ...พี่ขอโทษ” เมื่อใดก็ตามที่ตาคู่สวยนั้นลืมขึ้นมารับรู้ว่าจะต้องไปจากเกาหลี ไปจากพี่ชางมิน ตาคู่เดียวกันนี้คงจะเต็มหยาดน้ำตาเป็นแน่ ซีวอนจึงเลือกที่จะพูดคำว่าขอโทษกับน้องชาย เพราะสำหรับเขาไม่มีคำไหนเหมาะเท่าคำๆนี้แล้ว
“อื้อ ~” ร่างที่นอนอยู่บนเตียงเริ่มขยับน้อยๆ ส่งเสียงงึมงำในลำคออย่างรำคาญเพราะถูกกวนเวลาที่แสนสุข ก่อนเปลือกตาบางจะค่อยๆลืมขึ้น กระพริบอยู่สองสามครั้งเพื่อปรับแสง อาการงัวเงียของคนเพิ่งตื่นน่าเอ็นดูจนคนที่นั่งอยู่นานอดขำออกมาเบาๆไม่ได้

“ตื่นซักทีเด็กขี้เซา”

“งื้ออ พี่ชาย ~ พี่ชางมินล่ะฮะ” รอยยิ้มที่มีในตอนแรกหุบฉับทันทีที่ชื่อใครอีกคนหลุดออกมาจากปากของมินโฮ ซีวอนชักจะเหม็นขี้หน้าชางมินขึ้นมา แถมยังแอบเคืองน้องชายตัวเองที่ตื่นมาคนแรกที่ถามหาดันเป็นคนอื่นทั้งๆที่พี่ชายของตัวเองนั่งอยู่ตรงนี้แท้ๆ

“นี่...เกินไปแล้วชเวมินโฮ! พี่อยู่นี่ยังถามถึงคนอื่นอยู่ได้ เฮ๊อะ!!” พูดขึ้นเสียงเหมือนน้อยใจเต็มทีที่น้องชายดูไม่ให้ความสำคัญกับตัวเองเท่าที่ควร

เชอะ...ทั้งๆที่เมื่อก่อนอะไรก็พี่ชายๆ แต่ตอนนี้ทำไมมันมีแต่ชางมินๆล่ะ คิดแล้วเศร้าว้อย!! T^T

“ก็พี่ชายอยู่ตรงนี้แล้ว ผมจะถามหาทำไมล่ะ ผมก็ต้องถามหาคนที่ไม่อยู่สิ” มินโฮทำหน้างงได้อย่างน่ารัก แถมคำอธิบายก็ทำเอาคุณพี่ชายเอ๋อกิน....เอออนั่นดิ่....ไม่อยู่ถึงได้ถามหา....โง่อีกแล้วซีวอนเอ้ยย

“แล้วพี่ชายกับพี่ชางมินคุยกันเรียบร้อยแล้วหรือฮะ ถึงได้ออกมาเนี่ย” มินโฮหรี่ตาลงคล้ายจับผิด

“แน่น๊อน พี่ก็บอกเราแล้วว่าพี่กับชางมินไม่ได้ทะเลาะกันซักหน่อย ไม่มีเรื่องจะต้องคุยกันหรอก”

มือหนาวางแหมะลงบนหัวกลมพร้อมทั้งยีผมที่มันยุ่งอยู่แล้วให้ยุ่งเหยิงมากยิ่งขึ้น มินโฮได้แต่ปัดมือพี่ชายออกจากหัวของตัวเอง เสียงหัวของสองพี่น้องดังก้องห้องนอนใหญ่ เสียงที่เต็มไปด้วยความสุข....ที่ไม่รู้ว่าหลังจากที่รับรู้ความจริงต่อจากนี้ เสียงหัวเราะจะกลายเป็นเสียงร้องไห้

“หยุดเดี๋ยวเลยพี่ชาย!!”มินโฮตะโกนสั่งพี่ชายเสียงดัง เพราะคนตัวโตไม่ยอมหยุดแกล้งเสียที เขาเหนื่อยแล้วนะ

“โอเคๆ หยุดแล้วๆ ฮ่าๆ” ซีวอนหัวเราะร่วนที่ได้แกล้งน้อง ก่อนจะหยุดมือลง สิ้นเสียงหัวเราะ...รอยยิ้มยังคงอยู่ รอยยิ้มที่ซีวอนคิดอยู่เสมอว่าเป็นรอยยิ้มที่มีค่า แต่เขาก็ยังเลือกที่จะทำลายมันลง

“มินโฮ”ซีวอนเรียกให้น้องชายหันมอง มินโฮละมือจากการลูบผมที่กระเซิงให้เข้าที่หันกลับมามองพี่ชาย

“ฮะ?”

“พรุ่งนี้เช้า....พี่จะพาเรากลับฝรั่งเศสด้วย”

.

.

.

“ไปฝรั่งเศส?? อย่ามาล้อเล่นนะฮะ โรงเรียนยังไม่ปิดเทอมเลย ผมจะไปได้ยังไง”

...ใช่...พี่ชายต้องล้อเล่นแน่ๆเลย

...แต่ทำไมพี่ชายถึงไม่หัวเราะล่ะ

“................”

เมื่อความเงียบคือคำตอบแทนคำว่า..ไม่ น้ำตาเม็ดก็ร่วงลงจากดวงตาคู่โตเงียบๆเช่นกัน ไร้เสียงสะอื้น มีแค่แววตาตัดพ้อที่ส่งออกมาให้คนเป็นพี่ได้รู้สึกถึงสิ่งที่ตัวเองตัดสินใจ...ไม่มีแม้คำขอโทษหรือเหตุผลให้อีกฝ่ายได้รับรู้ ซีวอนเลือกที่จะเงียบ...เพื่อที่จะคิด..ว่า..

เขาควรจะเดินหน้า...เล่นเกมเห็นแก่ตัวต่อไป

หรือหันหลังกลับ...เพื่อลบหยาดน้ำตาของน้องชาย

ซีวอนได้แต่คิดและมองดูมินโฮร้องไห้เงียบๆ มินโฮก้มหน้าจนคางเกือบติดหน้าอกซ่อนร่องรอยของความเสียใจที่จะต้องไปจากคนที่รัก มีแค่หยดน้ำตาที่หล่นลงให้คนเป็นพี่ได้รับรู้ถึงความเจ็บปวดครั้งนี้ แต่อยู่ดีๆคนที่เอาแต่ร้องไห้กลับลุกพรวดพลาดขึ้น ไม่แม้แต่จะพูดอะไรกับคนที่นั่งอยู่สักคำก่อนจะวิ่งออกจากห้องไป ซีวอนตกใจกับอาการของมินโฮแต่มันก็แค่เล็กน้อยเท่านั้น ทำได้แค่มองตามหลังน้องชายไปเท่านั้น....เขารู้ดีว่าเวลานี้น้องชายจะไปที่ไหน

มาถึงตอนนี้..แม้จะรักและสงสารน้อง แต่ซีวอนก็ยังเลือกที่จะให้มันเป็นไป

พี่ขอโทษมินโฮ...

.

.

.

.

.

ปังงงงงงง

เสียงเปิดประตูดังลั่นเรียกให้เจ้าของห้องหันกลับมามอง ยังไม่ทันจะได้ตั้งตัวใครอีกก็โถมตัวเข้ากอด ทำเอาคนโดนกอดถึงกับเซน้อยๆบวกงงเล็กๆ แต่วงแขนสองข้างกลับเร็วกว่าสมองสั่ง...ยกขึ้นกอดตอบ และยิ่งรับรู้ถึงแรงสั่นของไหล่บาง อ้อมแขนยิ่งกระชับกอดร่างบางให้แน่นขึ้น

“ร้องไห้ทำไม หื้ม..คนเก่ง?” ถามทั้งๆที่รู้ ถึงสาเหตุของการร้องไห้ครั้งนี้ แต่ก็ยังถามออกไป...ก็แค่อยากจะแน่ใจว่าตัวเองสำคัญพอที่อีกฝ่ายจะเสียใจยามที่จะต้องจากกันหรือเปล่า

“ฮึกก..มะ..ไม่ไป..ฮึก..ได้มั้ย”

“.................”

“มะ..มินโฮไม่อยากไป ฮืออ” เสียงสะอื้นดังก้องห้องทำงานใหญ่ บ่งบอกอารมณ์ของเจ้าของน้ำตานั้นได้ดี แม้คนได้ยินได้เห็นยังรู้สึกทรมานไม่ต่าง....ไม่ต่างกันเลย....เจ็บ...จนจะหายใจไม่ออกอยู่แล้ว

สองมือหนารั้งร่างคนที่กอดตัวเองแน่นออกเล็กน้อย ก่อนจะใช้มือทั้งสองโอบประคองแก้มนุ่มให้เงยหน้าขึ้นสบตา นิ้วหัวมือทั้งสองค่อยๆเกลี่ยเช็ดน้ำตาให้ออกจากใบหน้าอย่างอ่อนโยนราวกับกลัวว่ามันจะรอยถ้าเพียงแต่ทำแรงเกินไป ปากหยักยิ้มน้อยๆให้กับคนตรงหน้าแล้วกดจูบลงบนหน้าผากมน...ทั้งนุ่มนวลและอ่อนโยน...

“...พี่ก็ไม่อยากให้มินโฮไป...ไม่อยากเลยสักนิด...คนดี..”

“แล้ว..ทำไมถึงปล่อยให้พี่ชายพามินโฮกลับล่ะ..ทะ..ที่บอกไม่อยากให้ไป..โก..ฮึก..หก..โกหกใช่มั้ยล่ะ!! ที่จริงก็อยากให้มินโฮไป เบื่อที่จะดูแลเด็กดื้อๆแล้วใช่มั้ย!!”

“ไม่ใช่นะมินโฮ!!”เพราะมินโฮทั้งดิ้นทั้งผลักชางมินจึงเพิ่มแรงกอดมากขึ้น กอดให้แน่นเพื่อให้อีกคนได้รู้ว่าเขารักมากเพียงใด

“ไม่ใช่เลย...ไม่ใช่ พี่ซีวอนแค่อยากให้มินโฮไปอยู่ด้วยเพราะคิดถึง มินโฮไม่สงสารพี่ซีวอนหรือ ไปอยู่กับพี่ชายแค่ไม่นานแล้วพี่จะไปรับมินโฮที่ฝรั่งเศสเอง...นะครับ”

“...................”

“ทั้งทำงานหนัก พอคิดถึงก็ต้องบินมาหาน้องชายอีก มินโฮไม่สงสารพี่ซีวอนหรือไง”ชักแม่น้ำทั้งห้ามาโน้มน้าวใจให้อีกคนตกปากรับคำ ถึงแม้ใจจริงจะไม่อยากให้ไปแค่ไหน แต่ต่อให้รั้งมินโฮเอาไว้ได้ ไม่นานซีวอนก็ต้องหาเรื่องมาพามินโฮไปได้อยู่ดี ถ้าอย่างนั้นสู้ปล่อยไปตอนนี้แค่ไม่กี่วันแล้วค่อยรับกลับมาอยู่ด้วยกัน ต่อไปซีวอนจะไร้ข้ออ้างใดๆที่จะมาดึงน้องชายกลับไปอีก เสียเวลาที่จะอยู่ด้วยกันนิดหน่อย แต่เวลาที่เหลือของมินโฮอย่างไรเสียก็ต้องเป็นของชิมชางมินอยู่ดี

เสียงสะอื้นหายไปแล้วมีเพียงแววตาลังเลใจที่ฉายชัดอยู่บนดวงตากลมโต จริงอยู่ที่ชางมินไม่เคยโกหก....แต่จะเชื่อได้แค่ไหนกัน ทั้งๆที่ผ่านมาพี่ชายไม่เคยเรียกร้องให้กลับไปหา และแม้ชางมินจะเอาใจใส่แค่ไหนก็ยังรู้สึกห่างเหิน....แต่คำว่ารักบอกกันกลับหนักแน่นเสียเกิน เขาควรจะเชื่อใจคนที่ตัวเองเลือกที่จะรักสินะ

“สัญญานะฮะ”

“..................”

“สัญญาว่าจะไปรับ ห้ามโกหกกันนะ”

“พี่เคยโกหกมินโฮด้วยหรือไงกัน....เชื่อพี่นะคนดี”




เวลาของการจากลามาเร็วกว่าคิด ร่างสูงยืนมองรถที่แล่นออกจากประตูบ้านบานใหญ่ออกไป จนกระทั่งลับตาจึงหันหลังเดินกลับเข้าสู่ตัวบ้าน ตามติดมาด้วยคุณแม่บ้านที่ไปยืนส่งคุณหนูคนโปรด ร่างท้วมเร่งเท้าตามคุณชายให้ทันก่อนที่ร่างสูงจะเดินเข้าห้องไป แล้วถามคำถามที่ยังคาเธออยู่ตลอดทั้งยังกังวลกับคำตอบที่จะได้รับเสียเหลือเกิน

“คุณชายคะ!”

“ครับ? ป้าอีจิน”ร่างสูงหันมาตามเสียงเรียก

“คือว่า...คุณหนูมินโฮจะกลับมาหรือเปล่าคะ ป้ากลัวว่าคุณหนูจะไม่ได้กลับมาค่ะ”ดูทีว่าคุณแม่บ้านคงจะร้อนใจอยู่ไม่น้อย ถึงได้รีบร้อนมาถามไถ่ทั้งที่มินโฮออกจากบ้านไปไม่ถึงสิบนาทีเสียด้วยซ้ำ

“นั่นสิครับ เอาเป็นว่าป้าช่วยจัดกระเป๋าเดินทางให้ผมทีนะครับ ผมจะไปรับพี่ฮีชอลไปเที่ยวฝรั่งเศสซักสองสามวัน ป้าคิดว่าไงครับ”คำตอบที่ได้เรียกร้อยยิ้มกว้างเต็มใบหน้าอวบ ก่อนจะกระวีกระวาดทำตามคำร้องขอเจ้านาย ท่าทางเช่นทำเอาร่างยกยิ้มขำๆแล้วเดินเข้าห้องทำงานไป



มือหนายกหูโทรศัพท์ขึ้นต่อสายหาคนที่ตัวเองไหว้วานแกมสั่งให้หาข้อมูลบางอย่างให้ เสียงทุ้มพูดคุยอยู่ไม่กี่ประโยคก่อนจะวางสาย แล้วหยิบแฟ้มงานที่วางกองอยู่บนโต๊ะออกจากห้อง มุ่งหน้าสู่บริษัทหลังจากได้รับข่าวดีจากคนสนิท ว่าข้อมูลให้หานั้นครบถ้วนตามที่ต้องการแล้ว และตอนนี้เอกสารเหล่านั้นนอนนิ่งอยู่บนโต๊ะทำงานของเขาอยู่ที่บริษัทรอให้เขาเข้าไปอ่านเรียบร้อยแล้ว

บึ่งรถคู่ใจไม่นานก็ถึงที่หมาย ขายาวก้าวเร็วๆเสียจนแทบจะเป็นวิ่ง แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังไม่ทันใจอยู่ดีเพราะใจมันวิ่งแซงหน้าไปถึงห้องทำงานแล้ว ลิฟท์สำหรับผู้บริหารระดับสูงเคลื่อนสู่ชั้นสูงสุดของตึก ในความเร็วระดับปกติที่เป็นอยู่ทุกวันแต่วันนี้ชิมชางมินกลับคิดว่าน่าจะเพิ่มความเร็วให้ลิฟท์ในบริษัทให้มากขึ้นอีกนิดหรือไม่เขาก็น่าจะย้ายลงไปอยู่ชั้นล่างๆดีกว่า จะได้ไม่ต้องเสียเวลาขึ้นลิฟท์นานๆแบบนี้

เพียงแค่เสียงดัง”ติ๊ง”เป็นสัญญาณว่ามาถึงชั้นที่ต้องการแล้ว ประตูลิฟท์เจ้ากรรมก็เหมือนจะทำให้เจ้าของบริษัทไม่พอใจอีกครั้ง เมื่อประตูนั้นมันช่างเปิดช้าแสนช้าในความคิดของคนรอ ทันทีที่ประตูเปิดออกขายาวก็สาวเท้าสู่ห้องทำงาน ก่อนจะโยนแฟ้มงานที่หอบมาด้วยลงบนโต๊ะของคุณเลขา ไม่แม้แต่จะหยุดทักคุณเลขาหน้าห้องเช่นทุกครั้งตามติดด้วยเสียงปิดประตู
คยูฮยอนได้แต่อ้าปากค้างตามหลังเจ้านาย เขาแค่จะบอกว่าตั๋วเครื่องบินสำหรับไปอังกฤษตอนนี้เตรียมไว้เรียบร้อยเท่านั้น แต่ดูคุณเจ้านายจะใจร้อนไปหน่อย...แต่ช่างเถอะ ก็เข้าใจนะว่าคนมันกำลังมีความรัก...คิดอย่างนั้นแล้วก็ส่ายหัวน้อยๆ แล้วลงมือทำงานต่อ

เอกสารที่มีข้อมูลที่เขาต้องการไม่กี่แผ่นวางอยู่บนโต๊ะอย่างเป็นระเบียบ ชางมินหยิบมันขึ้นมาก่อนจะเดินไปนั่งลงบนโซฟาในห้อง อ่านตัวหนังสือเหล่านั้นอย่างตั้งใจทีละบรรทัดๆ ในนั้นบอกเรื่องราวของคนที่เขาอยากรู้เอาไว้อย่างละเอียด ปากหยักยกยิ้มอย่างพอใจกับข้อมูลที่ได้รับ ร่างสูงลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนสาวเท้ากลับไปโต๊ะทำงานอีกครั้ง แล้วสายตาก็เจอกับกระดาษใบเล็กวางอยู่ ชางมินมองอย่างสงสัยตัดสินใจหยิบขึ้นมาดู ตัวอักษรที่พิมพ์อยู่บนกระดาษทำเอาร่างสูงนึกอย่างตบรางวัลให้กับคนสนิทที่รู้ใจเขาไปเสียทุกอย่างจริงๆ



ในขณะที่ยิ้มอย่างสมใจที่อะไรๆก็ดูจะเป็นไปอย่างที่คาด แต่บนเครื่องบินลำใหญ่ที่กำลังมุ่งหน้าสู่กรุงปารีสของฝรั่งเศสกลับดูเงียบผิดปกติ ไม่มีแม้คำพูดสักคำหลุดออกจากริมฝีปากตั้งแต่ที่รถคนหรูแล่นออกจากบ้านตระกูลชิม ซีวอนได้แต่เฝ้ามองอยากปลอบอยากพูดอะไรซักอย่างให้น้องชายได้รู้สึกดีขึ้น แต่ซีวอนก็รู้ดีว่าสิ่งที่คิดจะทำมันเปล่าประโยชน์ เพราะตอนนี้คนที่จะทำสิ่งเหล่านี้ได้ไม่ใช่พี่ชายอย่างตัวเองอีกต่อไป ซีวอนได้แต่หวังว่าชางมินจะฉลาดพอในสิ่งที่เขาเรียกร้อง เก่งพอที่จะจัดการมันได้ และรวดเร็วพอที่จะทำให้ใครคนที่นั่งอยู่ข้างเขาในตอนนี้ยิ้มออกมาได้โดยไว



หลังจากจัดการเคลียร์งานที่เกาหลีเสร็จชางมินรีบขึ้นเครื่องบินตรงมายังอังกฤษ เพราะคนที่จะแก้เรื่องยุ่งๆได้ก็มีแต่เจ้าของเรื่องเท่านั้น ชางมินได้แต่ส่ายหน้าระอาใจกับคู่รักคู่นี้ รักกันมาก็นานทำไมถึงเวลาอย่างนี้ถึงไม่ยอมคุยกัน เขาไม่อยากเชื่อเรื่องที่คยูฮยอนไปสืบมาเท่าไหร่ คิดแล้วก็กลุ้ม...เฮ้อ...ป่านนี้มินโฮคงไปถึงปารีสแล้วสินะ มินโฮของเขาจะทำอะไรอยู่นะ...ชักคิดถึงแล้วนะ แต่ก็เอาเถอะฝรั่งเศสกับอังกฤษก็ไม่ได้ไกลกันสักเท่าไหร่ รีบจัดการคนทางนี้ให้เสร็จจะได้ไปรับกลับบ้านเสียที

รถที่ถูกส่งไปรับคุณชายเล็กของบ้านเคลื่อนตัวผ่านประตูรั้วสูงใหญ่ ทันทีที่รถจอดสนิทชายสูงวัยแต่ดูภูมิฐานรีบเดินเข้ามาเปิดประตูให้กับคนสำคัญของบ้าน สาวใช้หลายสิบชีวิตยืนเรียงแถวรอต้อนรับอย่างเป็นระเบียบ ทำเอาร่างสูงที่เพิ่งลงจากรถขมวดคิ้วอย่างไม่สู้จะชอบใจนัก กับความมากพิธีอะไรแบบนี้

“อัลเบิร์ต...ผมว่าผมเคยบอกแล้วนะว่าเวลาที่ผมมาไม่ต้องทำอะไรแบบนี้”ชางมินติงไปนิดๆ กับการทำอะไรเอิกเกริก แต่ชายนามอัลเบิร์ตกลับยิ้มน้อยๆ พร้อมกับมอบคำตอบที่ร่างสูงไม่อาจแย้งได้

“ครับ แต่ท่านแจจุงบอกว่าต้องทำอะไรนี้ครับ”

“ช่างเถอะ แล้วพวกพี่ๆไปไหนกันหมดบ้านเงียบเชียว”ชางมินก้าวนำเข้าบ้านโดยอัลเบิร์ตคุณพ่อบ้านเดินมาติดๆ

“ทีไทม์ครับ อยู่ที่สวนหลังบ้าน”

“อะไรกันเห็นชาอุ่นๆดีกว่าน้องชายตัวเอง ผมควรจะน้อยใจดีมั้ยเนี่ย”แม้คำพูดจะดูตัดพ้อแต่กลับมีรอยยิ้มแต้มอยู่เต็มใบหน้า ก่อนจะเดินตามทางเดินที่ทอดตัวสู่สวนดอกไม้หลังบ้าน


“ฮีนิม”

“หืม ว่าไงแจจุง”คนทึ่กำลังจิบชาไปพร้อมๆกับดื่มด่ำความสวยงามของสวนดอกไม้หันมาตามเสียงเรียก

“......................”

“อะไร เรียกแล้วไม่พูดแต่มองหน้าเนี่ยหาเรื่องฉันหรือไงกัน”

“เมื่อไหร่จะกลับปารีส”แจจุงพูดพลางมองฮีชอลด้วยสีหน้าจริงจัง แต่ฮีชอลกลับเลือกที่จะมองข้ามทำเป็นไม่เห็นมัน

“ฉันเพิ่งมาได้ไม่กี่วันจะรีบไล่ไปไหนกัน เสียใจนะ ชิ”พ้อออกมาไม่จริงจังนัก

“นายรู้ว่าฉันหมายถึงอะไรฮีนิม”น้ำเสียงเรียบนิ่งห่างไกลคำว่า”เล่น” ทำให้คนโดนกดดันกลายๆ เสตาหลบไม่ยอมสบตาน้องชายที่กำลังตีหน้านิ่งแกมดุ ก่อนจะยิ้มเจื่อนหัวเราะกลบเกลื่อนความจริงที่ตัวเองก็รู้อยู่แก่ใจดี

“ฮะๆ ก็หมายความว่านายไม่อยากให้ฉันอยู่ที่นี่ด้วยนะสิจะอะไรซะอีกล่ะ ฉันรู้หรอกว่านายอยากมีเวลาเป็นส่วนตัวกุ๊กกิ๊กกับแฟนบ้าง อันนี้ฉันก็เข้าใจอยู่เอาเป็นว่าฉันจะไม่รบกวนเวลาแฟนนายมะ...”

เพล้ง!!
“คิมฮีชอล!!!”เสียงชุดถ้วยชากระเบื้องเนื้อดีราคาแพงแตกกระจายเกิดพร้อมๆกับขีดความอดทนของใครอีกคนหมดลง

“...!?...”

“เลิกทำตัวแบบนี้ซักที เลิกทำเหมือนคนชอบวิ่งหนีปัญหาเสียที!!”

“ฉันไม่ได้หนี!”

“ไม่ได้หนี? แล้วที่มานั่งอยู่ตรงนี้มันคืออะไร”

“ฉัน..!?”เมื่อถูกรู้ทันฮีชอลได้แต่อ้ำอึ้ง ในตอนที่กำลังคิดหาคำตอบให้กับตัวเองและแจจุง คนที่แอบฟังมาพักหนึ่งก็เดินออกมาตั้งคำถามให้พี่ชายคนโตได้คิดต่อ

“พี่ไม่ได้หนีหรอก แค่หลบหน้าเท่านั้นเองใช่มั้ยครับ”

“ชางมิน...”

“แล้วมันต่างกับหนีตรงไหน”แจจุงเสหน้าหนีพร้อมกับบ่นงุบงิบให้กับคำแก้ตัวที่น้องชายคนเล็กคิดขึ้นมา

“มาได้ไงไม่เห็นบอกพี่ล่วงหน้าเลย”ฮีชอลเดินเข้ามากอดน้องชายที่ไม่ได้เจอกันนาน ไม่สนใจคำค่อนขอดประชดประชันของน้องคนรอง

“ถ้าบอกก่อนก็ไม่ใช่เซอร์ไพร์สิครับ”ชางมินตอบ

“เฮ้อ...มัวแต่อ้อนพี่อยู่นั่นล่ะชางมิน พี่ว่านายรีบๆพูดธุระซักทีเถอะรีบอยู่ไม่ใช่หรือไง”แจจุงยกแขนเรียวขึ้นกอดอกส่ายหน้าให้กับสองพี่น้องที่ถึงนานๆจะเจอกัน แต่พอกันทีไรก็เป็นแบบนี้ทุกทีสิน่า พลางเร่งให้น้องชายพูดเรื่องของตัวเอง

“ฮ่าๆ ครับๆ พูดแล้วๆ”ชางมินหัวเราะกับท่าทางของพี่คนรอง

“ฮีชอล...ผมรู้ว่าทำไมพี่ถึงกลับมาอังกฤษ มันดีแล้วหรือครับที่พี่หนีมาไม่ยอมพูดกันให้รู้...”

“พอที!! ถ้าจะพูดเรื่องผู้ชายเห็นแก่ตัวคนนั้น!!”ร่างบางที่อยู่ในอ้อมกอดของชางมินตวาดลั่นไม่ยอมให้ชางมินได้ทันพูดจบประโยค ทั้งยังผลักน้องชายออกห่างตัว

“ฮีชอล...”

“ชอบคิดแทนพี่ตลอด ไม่เคยถามว่าพี่รู้สึกยังไง ต้องการหรือเปล่า แม้แต่เรื่องรับเด็กมาเลี้ยง สำคัญขนาดนั้นก็ยังไม่คิดจะถามจะบอกพี่ซักคำ...ฮึก...”

“..................................”

“ทำไมถึงไม่ถามสักคำว่าพี่พร้อมที่จะทำหน้าที่แม่ พร้อมที่จะดูแลใครหรือเปล่า ...ฮึก...ก็ไม่”ชางมินดึงพี่ชายเข้ามากอดลูบหลังปลอบ นานแล้วที่ไม่ได้เห็นฮีชอลเป็นแบบนี้ เห็นแล้วก็ชวนให้สงสารอยู่ไม่น้อย

“แล้วพี่คุยกับพี่ซีวอนแล้วหรือยัง”

“ พี่บอกเขา แล้วเราก็ทะเลาะกัน เขาเอาแต่คิดว่าพี่ไม่อยากมีลูก ทั้งๆพี่แค่ไม่อยากได้เด็กที่เห็นหน้าแล้วรู้สึกเอ็นดู”

“...............................”

“อยากได้เด็กที่ทำให้พี่รัก แค่ได้เห็นหน้าเขาพี่ก็มีความสุขนั่นต่างหาก ไม่ใช่เด็กคนไหนก็ได้ที่ซีวอนไปยืนเลือกๆมา ทั้งๆที่มันก็แค่นี้ ทำไมเขาไม่ยอมเข้าใจอะไรเลย...ฮึก...พี่เสียใจนะ....โฮฮฮฮ”พูดจบก็ปล่อยโฮเหมือนเด็กๆ ฮีชอลก็ยังเป็นฮีชอล ถ้าไม่พอใจอะไรแค่มีคนโอ๋เดี๋ยวก็พูดออกมา พี่ซีวอนเองก็รู้จุดนี้ดีอยู่แล้ว ยังให้เขามากล่อม นี่เขาเหมือนพวกว่างงานมากนักหรือไงกันนะ ถึงจะคิดอย่างนั้นสองมือกลับไม่ยอมหยุดลูบหน้าลูบหลังปลอบโยนคนที่กำลังร้องไห้อยู่ในอ้อมกอด

“ถ้าอย่างนั้นพี่ก็ต้องบอกให้พี่ซีวอน เขาสิครับ”

“แล้วเขาจะฟังหรือ เขาต้องโกรธพี่อยู่แน่ๆ”

“ไม่หรอกครับ ถ้าพี่พูดผมว่าพี่ซีวอนต้องเข้าใจแน่ๆ พี่กลับปารีสนะครับผมจะไปเป็นเพื่อนพี่เอง”เหมือนจะลังเลแต่ท้ายที่สุดแล้วฮีชอลก็พยักหน้าตกลง ชางมินหันไปยิ้มให้กับพี่ชายคนรองบอกให้รู้ว่า...หลอกเด็กสำเร็จแล้ว!!...


หลังจากเหยียบแผ่นดินอังกฤษยังไม่ครบยี่สิบสี่ชัวโมงชางมินก็ต้องขึ้นเครื่องเพื่อบินต่อไปฝรั่งเศสอย่างไม่ให้เสียเวลา แม้ฮีชอลจะออกปากขอเวลาเตรียมใจที่จะไปเจอกับคนรัก ชางมินให้เหตุผลกับพี่ชายว่าควรจะรีบเคลียร์ทุกอย่างให้จบโดยเร็วดีกว่าจะปล่อยให้ค้างคาไปนานกว่านี้ ทั้งยกเอาเรื่องที่ซีวอนร้อนใจอยากเจอ กระทั่งตามไปให้ขอให้เขาช่วยถึงเกาหลี แค่นี้ก็ทำให้คิมฮีชอลเก็บกระเป๋าใบโตขึ้นเครื่องบินมากับน้องชายโดยดี

“ฮีชอล...เป็นอะไรหรือ?? นั่งเงียบเชียว”ตั้งแต่ขึ้นเครื่องฮีชอลก็เอาแต่นั่งเงียบจนชางมินอดห่วงไม่ได้

“เปล่า แค่กำลังคิด…”ฮีชอลตอบแต่ไม่ได้หันมามองคู่สนทนา

“คิด?? เรื่องพี่ซีวอนหรือ??”

“เปล่า...พี่กำลังคิดว่า...คนที่ทั้งเก่งแล้วก็ฉลาดอย่างนาย ทำไม...ถึงหลอกพี่ด้วยแผนตื้นๆแบบนี้”

“........................”

“แค่จะไปรับเด็กกลับบ้านไปเองก็ได้นี่นา ไม่เห็นต้องหลอกให้พี่ไปเพื่อนเลย”ฮีชอลหันมามองน้องชายด้วยแววตารู้ทัน คำพูดติดตลกทำเอาชางมินหลุดหัวเราะ

“ฮ่าๆ พี่ก็รู้อยู่แล้วทำไมต้องลำบากให้ผมมาตามด้วยล่ะ พี่เองก็อยากได้เพื่อนกลับบ้านเหมือนกันนั่นแหละ”เมื่อต่างคนต่างรู้ทันกันก็ไม่มีอะไรให้ปฏิเสธ สองพี่มองหน้ากันก่อนจะปล่อยเสียงหัวเราะลั่น


ตั้งแต่เครื่องบินลงจอดจนถึงตอนนี้รถที่ถูกส่งมารับฮีชอลกับชางมินกำลังแล่นอยู่บนถนนมุ่งสู่คฤหาสน์หลังงามของตระกูลชเว ร่างสูงยกนาฬิกาข้อมือแทบจะทุกห้านาที ฮีชอลที่เห็นอย่างนั้นก็นึกขำ ไม่เคยเห็นชางมินรีบร้อนอะไรซักอย่าง ทำอะไรก็สุขุมเยือกเย็นมาตลอด แต่พอเป็นเรื่องของมินโฮเข้าหน่อยกลับหลุดมาดเสียได้ ก็เข้าอยู่หรอกนะว่ารอมาหลายปี แต่อีกไม่กี่นาทีก็จะได้เจอกันแล้วแท้ๆ....ความรักทำให้คนเป็นบ้าได้จริงๆ....นั่งคิดขำๆกับท่าทางของน้องชาย

“ฮีนิม...พี่ยิ้มอะไรของพี่”และดูเหมือนเจ้าตัวจะรับรู้ได้ว่าถูกมองจึงหันกลับมาถาม

“มีธุระที่ไหนหรือ?? ชางมิน”ฮีชอลไม่ตอบแต่ถามกลับ

“เปล่านี่ ทำไมพี่ถามอย่างนั้นล่ะ”

“ก็พี่เห็นเราเอานั่งมองนาฬิกาจนมันจะสึกอยู่แล้ว เลยนึกว่ามีธุระที่ไหน พี่จะได้ให้คนรถเขาไปส่ง ไม่ต้องไปกับพี่ก็ได้นะ”

“เห๋...ธุระของผมก็อยู่ที่ที่กำลังจะไปนี่แหละ ว่าแต่ทำไมรถมันวิ่งช้าอย่างนี้??”

“ห๊ะ...ฮ่าๆ เป็นเอามากนะเรา เพิ่งรู้จริงๆนี่แหละว่าความรักมันทำให้คนเป็นบ้าได้จริงๆ”

“แต่ผมว่ายังมีคนที่บ้ามากกว่าผมอีกนะ”

“จริง?? อยากเห็นจังว่าคนๆนั้นจะหน้าตาเป็นแบบไหน”

“เดี๋ยวไปถึงพี่ก็ได้เห็นเองนั่นแหละ”



ตั้งแต่ได้รับโทรศัพท์ทางไกลจากอังกฤษว่าได้ส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนมาแล้ว แถมยังโดนบ่นอีกยาวเยียด มาถึงตรงนี้ซีวอนเชื่อแล้วที่ฮีชอลเคยบอกว่าคิมแจจุงขี้บ่นที่สุดในโลก ทั้งๆที่เขามีศักดิ์เป็นพี่เขยแท้ยังโดนขนาดนี้ ใครได้ไปเป็นเมียซวยตาย แต่ถึงอย่างไรก็ต้องขอบคุณแจจุงละนะที่คอยช่วยเหลือเขาเรื่องฮีชอลมาตลอด แล้วความคิดที่กำลังนินทาน้องเมียอยู่ก็ต้องหยุดลงเมื่อรถที่ถูกส่งไปสนามบินเลี้ยวเข้าประตูสูงใหญ่ของบ้านมา คนที่ชะเง้อคอรอมาครึ่งค่อนคืนถลาออกไปรับทันทีที่รถจอดสนิท ประตูรถที่เปิดออกและคนที่ก้าวลงจากรถคือคิมฮีชอล คนที่ชเวซีวอนรออยู่เห็นอย่างนั้นร่างก็รีบปรี่เข้าไปหาและทำสิ่งที่ใครไม่คาดคือ...การที่ซีวอนคุกเข้าลงกับพื้นแล้วกอดฮีชอลแน่น

“ฮีนิม!! คุณกลับมาแล้ว”ใบหน้าหล่อๆแนบซบกับหน้าท้องแบนราบ พร้อมทั้งถูไถอย่างออดอ้อน การกระทำที่ทำเอาคนถูกทำหน้าเลิกลั่ก หน้าแดงเพราะอายสายตาของขบวนคนรับใช้ที่ยืนรอต้อนรับ

“ซะ...ซีวอน”

“เรื่องลูกผมขอโทษที่ไม่เคยถามความรู้สึกของคุณก่อน อย่าหนีผมไปแบบนี้อีกนะที่รัก ผมขอโทษ!!”

ในขณะที่พี่เขยกำลังคร่ำครวญขอคืนดีกับพี่ชายตัวเอง ชางมินใช้โอกาสนั้นกระซิบถามคุณแม่บ้านถึงคุณหนูของบ้าน ได้คำตอบว่ามินโฮไม่รู้ว่าชางมินจะมา และมินโฮก็เข้านอนไปนานแล้ว คุณแม่บ้านจะให้สาวใช้นำไปห้องพักที่เตรียมไว้ให้ ชางมินปฏิเสธแต่ขอให้พาไปที่ห้องของคนที่กำลังหลับอยู่แทน

ร่างสูงเปิดและปิดประตูให้เบาที่สุดเท่าจะทำได้ด้วยกลัวว่าเจ้าของห้องจะตื่นจากนิทราอันแสนสุข ขายาวก้าวมาหยุดอยู่ข้างเตียงหลังใหญ่ที่มีเด็กน้อยของเขานอนหลับอยู่ ดวงหน้าที่ชางมินไม่ได้เห็นมามากกว่ายี่สิบสี่ชั่วโมง เวลาที่ไม่ได้นานอะไรนักหนาแต่เขากลับคิดถึงและโหยหา นาทีนี้คนๆนั้นอยู่ห่างแค่เพียงเอื้อมมือออกไปเท่านั้น เขาจะได้เด็กน้อยมาอยู่ในอ้อมแขน แล้วเขาก็ไม่คิดจะให้เวลาผ่านไปอย่างเสียเปล่า ร่างสูงหย่อนกายลงนอนเคียงข้างก่อนรั้งตัวอุ่นๆของเด็กน้อยเข้ามากอด ร่างบางขยับตัวหยุกหยิกเข้าหาร่างสูงมากขึ้น

“...ชาง..มิน”เสียงละเมองึมงำเบาๆที่ได้ยิน แค่นี้...แค่รู้ว่าในฝันของเด็กน้อยมีเขาอยู่ แค่นี้...หัวใจก็พองแน่นคับอก ความยินดีที่รู้สึกได้เกิดขึ้นเพราะความรักที่เขามีต่อคนที่นอนทอดกายอยู่ตรงนี้สินะ

ปากหยักระบายยิ้มบางเบา ชางมินกดจูบลงไปบนกลุ่มผมนุ่มก่อนที่เสียงทุ้มจะกระซิบเรียกให้ผู้ที่อยู่ในอ้อมกอดตื่นจากห้วงของความฝัน เพื่อมาพบกันในโลกของความจริง และ...ให้เด็กน้อยของเขาได้ตื่นเพื่อมาฟังสิ่งที่เขาจะบอกว่า...คิดถึงอีกฝ่ายมากแค่ไหน

“มินโฮ~ ตื่นเถอะคนดี”

“งื้ม...”

“หึหึ...เด็กขี้เซาตื่นได้แล้ว”ชางมินอดขำไม่ได้กับท่าทางน่ารักๆ ที่ขยับหนีอย่างรำคาญ ร่างสูงกระชับวงแขนให้แน่นขึ้นอีก แล้วเพิ่มเสียงเรียกให้ดังขึ้น...ได้ผล เปลือกตาบางขยับก่อนจะค่อยๆลืมขึ้นสบกับดวงตาคมที่จ้องมองอยู่ก่อนแล้ว มินโฮกระพริบสองสามครั้ง ตากลมโตรี่ปรือด้วยความง่วงงุนยังคงมีอยู่ และพร้อมที่จะหลับลงทุกเมื่อ

“อะไรกัน พี่อุตส่าห์ข้ามน้ำข้ามทะเลมาหา เด็กขี้เซาก็ไม่คิดจะตื่นมาคุยกันซักนิดเลยหรือ??”

“...............................”

เรียกก็แล้วประชดก็แล้วคนที่หลับก็ไม่มีทีท่าว่าจะตื่น ชางมินก็ได้แต่ถอนหายใจจนคิดจะยอมแพ้แล้วหลับตามคนขี้เซาไป แต่เหมือนจะคิดอะไรดีๆออก

“ถ้างั้นขอจุ๊บราตรีสวัสดิ์หน่อยนะคนดี ^^”

ใบหน้าคมเลื่อนเข้าใกล้จนได้กลิ่นลมหายใจอุ่น ปากหยักกดจูบแรกลงที่หน้าผากมนแล้วลากไล้จูบที่สองที่จมูกโด่งสวยและจบลงที่ริมฝีปากอิ่ม แทะเล็มพอให้รู้สึกวาบหวาม ก่อนจะแทรกลิ้นร้อนเข้าสู่โพรงปาก กวาดต้อนลิ้นเล็กที่ซ่อนอยู่ภายใน จูบบางเบาในตอนแรกกลับเร่าร้อนขึ้นตามอารมณ์ จูบอ่อนหวานแต่ทว่าเร่าร้อนเรียกเสียงครางเครือจากลำคอเรียวยาวทั้งๆที่ยังหลับ จูบเนิ่นนานยังคงเป็นไปจวบจนร่างสูงสัมผัสได้ถึงแรงบีบที่ไหล่ถึงได้ผละออกจากจูบหอมหวานนั้นอย่างเสียดาย

“...แฮ่ก..แฮ่ก...”ปากอิ่มที่ตอนนี้มันทั้งแดงกล่ำและบวมเจ่อ อ้าออกหอบโกยเอาอากาศเข้าสู่ปอด ช่างเป็นภาพที่สวยงามสำหรับผู้เฝ้ามองอยู่

“ตื่นแล้วหรือ...เด็กขี้เซา”

“...พี่...ชางมิน”มินโฮเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างเพ้อๆ เพราะตอนที่งัวเงียตื่นขึ้นมา คิดว่าตัวเองยังคงอยู่ในความฝัน

“................................”มือเรียวลูบใบหน้าของคนที่อยู่ในความคิดทั้งยามหลับและยามตื่น อย่างต้องการพิสูจน์ว่านี่ไม่ใช่ความฝันอย่างที่ผ่านมา

“พี่ชางมินจริงๆใช่มั้ยฮะ”

“ใช่...พี่ชางมิน...ของมินโฮไง”

“ดีใจจัง”...ดีใจจนไม่รู้จะพูดอะไรได้แต่กอดร่างสูงแน่นขึ้นไปอีก ซุกหน้าลงกับอกกว้างฟังเสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะเดียวกัน...ในที่สุดพี่ก็มาซักที...

“หืม?? แค่นี้เองหรือ ไม่ได้เจอกันตั้งเกือบสองวัน พูดแค่นี้เองหรือ”

“...ก็ดีใจ...แล้วจะให้พูดอะไรล่ะ”
“อืมม...ก็...อย่างเช่นมินโฮคิดถึงพี่ชางมินมากๆเลยนะฮะ...”

“...บ้า!...ใครจะพูดกัน”

“ฮ่าๆ งั้น...ถ้ามินโฮไม่พูด...พี่จะพูดมันเอง”

“...................................”

“พี่คิดถึงมินโฮนะครับ”

เสียงกระซิบแผ่วเบาแต่กลับก้องไปทั้งหัวใจคนฟัง ความสุขเอ่อล้น...ที่สุดแล้วเราก็กลับมาอยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน อากาศที่เหน็บหนาวข้างนอก ไม่ได้ทำให้คนสองคนรู้สึกหนาวสักนิด เพราะความรักที่ทำให้ใจอบอุ่นและแผ่ซ่านออกมาห่อหุ้มกายเอาไว้

.............และความรักของเราจะยังคงอยู่ตราบนานเท่านาน...........







“ย๊าา!! ชเวซีวอน ลุกขึ้นแล้วเลิกกอดฉันแบบนี้ซักที นายไม่อายแต่ฉันอายนะ!!”

“ฮีนิม...ผมรักคุณณณณณณณ”


..........รู้แล้วหรือยังว่าใครบ้ากว่าใคร ฮ่าๆๆๆๆ..........



FIN.

Thursday, March 11, 2010

[SF-ChangMinHo]Do You Love Me?

Title : Do You Love Me?
Status: Short Fiction
Pairing: Changmin x Minho
Author: winx
Rating: PG-13 to NC-15





" โอ้ย...ไอ้บ้าเอ้ย นี่ คุณปล่อยผมนะ " เสียงคนตัวเล็ก(?)ตะโกนสั่งคนที่หลับหูหลับตาลากเค้าออกมาจากผับ ไม่สนใจว่าเค้าจะดิ้นรนหรือจะขัดขืนขนาดไหน

" เฮ้ย พูดไม่รู้เรื่องรึไงวะ บอกให้ปล่อยๆ ปะ.." ยังไม่ได้พูดจบคนตัวใหญ่ที่เคยก้มหน้าก้มตาลาก ก็หยุดและกลับมาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นจนคนฟังสะท้าน

" ถ้าเธอยังไม่หยุดโวยวายและตามฉันมาดีๆละก็.." คนตัวสูงเว้นหยุดพูด แต่มองไปที่อีกคน ด้วยสายตาโลมเลีย

" ทะ..ทำไม คุณจะทำไมผม " คนตัวเล็ก(?)ถามเสียงสั่น ถึงในใจจะรู้สึกกลัวคนตรงหน้า แต่ก็ยังทำเป็นกล้าเชิดหน้าท้าทาย ตามนิสัยไม่ยอมคน

" ก็ไม่ทำไมหรอก ฉัน..อาจจะกดเธอลงตรงนี้ แล้ว..." คนพูดไม่พูดเปล่า ค่อยๆดันอีกคนไปจนติดผนัง ใช้จมูกไล้ไปตามแก้มนุ่มและซอกคอของอีกฝ่าย แล้วกดจูบลงไปเบาๆให้ร่างเล็กได้สะดุ้ง ก่อนจะใช้ลิ้นลากเลียติ่งหูนิ่ม

" อ๊ะ..ยะ หยุดนะ อ๊า " แล้ววกกลับมาไล้เลียที่ซอกคอหอมอีกครั้งพูดกับจูบหนักๆจนเกิดรอยแดงขึ้นมา แต่ไม่ทันจะได้ทำอะไรมากกว่านี้คนตัวเล็กก็ดิ้นสุดแรง และผลักคนที่กำลังรุกรานตนให้ออกห่างไป

" แฮ่ก..แฮ่ก " เสียงคนตัวเล็กหายใจเอาอากาศเข้าปอด หลังจากกลั้นหายใจดังไปทั่วซอกตึกที่ร้างผู้คน

" ว่าไง จะยอมว่าง่ายๆตามฉันไปดีๆหรือจะทำแบบเมื่อกี้อีก ..หื้ม " คนตัวสูงยื่นหน้าเข้าไปถามใกล้เสียจนอีกฝ่ายต้องเบี่ยงหน้าหลบ

" ก็ได้ๆๆ แต่คุณช่วยเอาหน้าออกไปห่างๆ ผมหน่อยได้มั้ยเล่า " ถึงคำพูดจะบ่งบอกว่าอีกคนยอมแพ้แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความขัดใจเป็นที่สุด

" หึ ฉันขอถามเธออีกครั้ง..เธอไปทำอะไรที่นั่น " เอ่ยถามด้วยเสียงทุ้มๆ พร้อมกับไล้นิ้วยาวไปตามใบหน้าของอีกฝ่ายเหมือนจะแกล้ง เจ้าของใบหน้าน่ารักสะบัดหน้าหนีอย่างไม่สู้พอใจเท่าใดนัก ลืมความกลัวเมื่อครู่ไปชั่วขณะ

" ไม่บอก !! จะรู้ไปทำไม สนใจด้วยรึไง เห๊อะ " ตะโกนใส่หน้าอีกฝ่ายพร้อมเชิดหน้าขึ้นอย่างถือดี ด้วยความเผลอ...แต่ลืมอะไรไปหรือเปล่า

" เฮ้ย !! คุณ..ออกไปนะ...โอ้ย " ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่ออีก ก็ถูกอีกคนกระชากแขนเข้าชนกับอกกว้างอย่างแรง

" ชั้นบอกแล้วว่าให้ทำตัวดีๆ !! อยากลองดีกับชั้นใช่มั้ย..ได้ " เพราะถูกคนตัวเล็กดื้อใส่ และอยากจะสอนเด็กดื้อสักครั้งให้ได้จำ

" หนะ..อุ๊บ ..อื้อ " ริมฝีปากหนาประกบกับปากสีเชอร์รี่อย่างแรง ลิ้นหนาพยายามดุนดันเข้าไปในช่องปาก แต่คนตัวเล็กที่อยู่ในอ้อมกอดกลับเม้มปากแน่น ลิ้นหนาดุนดันปากเล็กๆนั้นอย่างแรง จนมันเผยอออก ก้อนเนื้อหยุ่นหลุดเข้าไปควานหาความหอมหวานทันที

ร่างสูงดันร่างเล็กไปติดผนังตึกแล้วลูบไล้แผ่นหลัง ก่อนจะย้ายมือข้างหนึ่งมาลูบไล้ที่หน้าอกบาง ส่วนมืออีกข้างค่อยๆสอดเข้าไปในตัวเสื้อแล้วสะกิดยอดอก

" อ๊ะ อื้อออ " เสียงครางประทวงดังขึ้น สองมือพยายามดันร่างหนาออก แต่เมื่อรู้ตัวว่าไม่อาจต่อต้าน จึงได้แต่ปล่อยให้ร่างสูงทำตามใจ

เมื่อรู้สึกพอใจและเห็นว่าร่างเล็กๆนั่นสิ้นฤทธิ์จึงค่อยๆละปากออกถึงจะรู้สึกเสียดายรสหวานๆของริมฝีปากสีสวยอยู่ก็เถอะ

" แฮ่ก...แฮ่ก..." ร่างบางรีบสูดอากาศเข้าปอดแทนที่อากาศที่ถูกช่วงชิงไปทันทีที่ร่างสูงถอนริมฝีปากออก

" ทีนี้จะทำตัวดีๆได้รึยัง " ร่างบางไม่ตอบแต่เงยหน้ามองร่างสูงด้วยใบหน้าแดงก่ำที่บอกไม่ได้ว่าเพราะความอายหรือเพราะโกรธมากกันแน่ แต่ตาสวยคู่นั้นกลับมีน้ำปริ่มอยู่ขอบตาพร้อมที่จะไหลลงมาได้ทุกเมื่อ อีกคนเห็นก็ใจอ่อนอดสงสารไม่ได้ยกมือขึ้นโอบประคองใบหน้าน่ารักขึ้นพร้อมกับใช้นิ้วโป้งปาดเช็ดน้ำตาที่ค่อยๆไหลลงมาอย่างเบามือ

" อะไรกัน เมื้อกี้ยังเป็นเด็กดื้ออยู่ไม่ใช่หรอ ตอนนี้กลายเป็นเด็กขี้แยไปซะแล้ว " ร่างสูงเอ่ยเย้าคนตัวเล็กที่ตอนนี้ปล่อยโฮออกมา ปากหยักยกยิ้มน้อยๆตาคมฉายแววเอ็นดูอยู่เต็มเปี่ยม พร้อมกับดึงร่างบางเข้ามากอดอีกครั้ง

" ฮึกๆ ..ฮือ ไอ้บ้า ซิมชางมิน ผม..ฮึก..จะฟ้อง.อึก..พี่ซีวอน " กว่าร่างบางจะพูดจนจบประโยคสั้นๆเล่นเอาคนฟังอดเหนื่อยแทนไม่ได้

" หื้ม..เธอจะฟ้องพี่ชายเรื่องอะไรล่ะ ชเวมินโฮ เรื่องที่เธอหนีเที่ยวหรือว่า..เรื่องที่ฉัน...จูบเธอ " ชางมินย้อนถามร่างเล็ก ปลายเสียงทุ้มกระซิบอยู่ริมหูร่างบาง อย่างล้อเลียนมากกว่าจะอยากรู้คำตอบ

" อ๊ะ..คุณไม่ต้องมาแกล้งผมเลยนะ " มินโฮเงยหน้าพูดเสียงดุแต่คนมองกลับคิดว่ามันน่ารักเสียมากกว่า

" เรื่องหนีเที่ยว คุณนั่นแหละที่ผิด " โยนความผิดให้อีกคนอย่างหน้าตาเฉยจนคนถูกกล่าวหายังงงๆกับความผิดที่ไม่รู้ตัวของตัวเอง

" เอ๋ เพราะฉันอย่างนั้นหรอ ?? "

" ก็เพราะคุณน่ะ....ผม " มินโฮซุกหน้าแดงๆของตัวเองลงไปที่อกกว้างแถมพูดเสียงเบาซะจนแทบไม่ได้ยิน แต่คนที่ตั้งใจฟังอยู่แล้วกลับได้ยินทุกคำพูดอย่างชัดเจน จนอดจะถามย้ำให้ได้ชื่นใจอีกครั้งไม่ได้

" หื้ม อะไรนะ ไม่ได้ยินเลย " ชางมินถามย้ำ แม้จะได้ยินแล้วแต่ก็ยังอยากฟัง

" ก็...คุณน่ะไม่สนใจผม " แม้จะพูดอีกครั้งแต่มันก็ยังเบาอยู่ดี

" อะไรนะ ไม่ได้ยินเลย รีบๆบอกชั้นมาสิ ไม่พูดแล้วฉันจะรู้ได้ไงว่าฉันผิดเรื่องอะไร " เมื่อถูกถามซ้ำหลายรอบคล้ายถูกแกล้งจนถูกถามโมโห หรือเพราะความอัดอั้นตันใจที่มีอยู่เป็นทุนเดิม จึงได้หลุดปากพูดออกไปไม่ทันคิด

" ฮึ่ย! ผมบอกว่าคุณน่ะไม่เคยสนใจผมเลย วันๆก็ทำแต่งาน ๆๆๆ และงาน พอเสร็จจากงานคุณก็อ่านแต่หนังสือบ้าบออะไรก็ไม่รู้ ปล่อยให้ผมเหงาอยู่บ้านคนเดียว พี่ซีวอนฝากให้คุณดูแลผมนะ ไม่ใช่ฝากให้คนใช้ดูแล !! คุณมัน...บ้าที่สุดเลย ฮึก..ฮือ " พูดจบก็ปล่อยโฮอีกรอบ เดือดร้อนให้คนที่กอดอยู่ต้องรีบปลอบ แต่ก็อดดีใจไม่ได้ที่คนตัวเล็กอยากให้เขาเอาใจใส่ดูแล

" หึหึ อย่างนี้เองที่หนีเที่ยวเพราะอยากให้ฉันสนใจสินะ ไม่เห็นต้องทำอย่างนี้เลย เด็กโง่ ถ้าฉันไม่สนใจไม่ห่วง ฉันจะตามเธอมาที่นี่ทำไม " ชางมินกอดคนตัวเล็กแน่นขึ้นอีกคล้ายจะปลอบใจ

" กลับเถอะ ดึกแล้ว อ่อ..แล้วก็อีกอย่างฉันจะลงโทษที่เธอหนีเที่ยวและเธอยังพูดไม่เพราะกับฉันด้วย " ชางมินยกยิ้มเจ้าเล่ห์โดยที่อีกคนไม่ทันได้เห็นแล้วเอ่ยคาดโทษเด็กดื้อ คนทำผิดได้แต่ทำหน้าเหวอ ทั้งๆที่ได้อธิบายเหตุผลไปแล้วว่าทำไมถึงได้ทำเช่นนี้

"แต่วะ.."

" ไม่มีแต่ ฉันลงโทษเธอให้เข็ด ให้เธอไม่กล้าทำอย่างนี้อีกเลย " พูดจบร่างสูงก็จูงมือร่างบางไปที่รถที่จอดรอไว้

ลงโทษงั้นหรอ?? เค้าก็ไม่ได้กลัวการลงโทษนะ แต่สายตาที่อีกฝ่ายมองมานี่สิ มัน...ไว้ใจไม่ได้เลย

เมื่อเมอร์ซิเดสเบนซ์คันหรูจอดเทียบประตูคฤหาสต์หลังใหญ่ มินโฮก็รีบลงจากรถตรงขึ้นไปยังห้องนอนของตัวเองทันที ไม่ใช่เพราะง่วง แต่เพราะกำลังหนีต่างหาก แต่ไม่ทันจะได้ก้าวขึ้นบันได เสียงทุ้มที่คุ้นหูดีกลับเรียกให้ต้องหยุด

" มินโฮ อาบน้ำแล้วไปหาฉันที่ห้องด้วย " ชางมินเอ่ยเสียงดังตามหลังคนตัวเล็ก

" หี อย่าคิดหนีเชียวเด็กน้อย ยังไงเธอก็หนีไม่พ้นอยู่ดี " ร่างสูงพูดกับตัวเองเบาๆราวกับรู้ว่าคนที่หนีขึ้นห้องไปนั้นจะได้ยิน








" บ้าเอ้ย จะให้ไปหาทำไม ดึกป่านนี้ ทุกทีไม่เคยจะสนใจ " หลังจากหนีขึ้นมาบนห้องได้ มินโฮก็จัดการปิดประตูล็อกกลอนอย่างแน่นหนา

“เชอะ..เข้ามาได้ก็เข้าลองดู แบร่! ฮ่าๆ” ส่งเสียงท้าทายพร้อมทั้งแลบลิ้นใส่ประตูเหมือนกับว่ามันเป็นคนที่ตัวเองกำลังโมโหอยู่ แถมยังหัวเราะใส่เสียงดังก่อนจะเดินเข้าห้องอาบน้ำอย่างสบายใจ





ผ่านไปร่วมชั่วโมงคนที่ถูกสั่งให้มาหากลับยังไร้วี่แวว

" คิดไว้แล้วเชียว บอกแล้วหนียังไงก็ไม่พ้น หึ " ป่านนี้คงปิดประตูล็อกห้องแล้วคิดว่าเค้าคงทำอะไรไม่ได้ แต่...คิดผิดแล้วเด็กน้อย ชางมินยกยิ้มที่มุมปาก แล้วเดินไปเปิดลิ้นชักที่หัวเตียงก่อนจะหยิบกุญแจดอกหนึ่งขึ้นมา เธอคิดน้อยไป...มินโฮ

เพียงไม่นานชางมินก็มาหยุดอยู่ที่หน้าห้องของมินโฮ ชางมินเคาะประตูห้องไปหลายครั้ง แต่ไร้แววเจ้าของห้องมาเปิด จึงตัดสินใจใช้กุญแจที่ถือมาไขเข้าไปด้วยความเบามือ

แกร๊ก ~~

เพียงนิดเดียวประตูห้องก็เปิดออกอย่างง่ายดาย ตาคมกวาดสายตามองไปรอบห้องเพื่อหาคนที่ตัวเองต้องการเจอแต่กลับไม่มีวีแววว่าจะมีคนอยู่ในห้อง ..... มินโฮไปไหน

ร่างสูงคงจะลงไปตามหาข้างล่างหากไม่ได้ยินเสียงน้ำที่ดังออกมา อ่อ...อาบน้ำอยู่นี่เอง อาบนานๆก็ได้นะมินโฮ ....ตัวจะได้หอมๆ หึหึ ชางมินนั่งลงบนเตียงแล้วหันหลังพิงหัวเตียงเอาไว้ ตาคมค่อยๆหลับลงนึกไปถึงตอนที่คนรับใช้โทรศัพท์ไปบอกเขาที่ยังทำงานอยู่ที่บริษัทว่าคุณหนูคนดีออกจากบ้านไปตั้งแต่สองทุ่ม โดยมีเด็กหนุ่มหน้าตาดีมารับ ตัวเขานั้นโมโหมากแค่ไหนนั้นตัวเขาเองยังตกใจ แล้วนับประสาอะไรกับคนรับใช้ที่เขาเผลอตะหวาดใส่ผ่านไปทางโทรศัพท์เพราะไม่ยอมดูแลคุณหนูคนเก่งให้ดี แต่สิ่งที่ทำให้เขาทั้งโมโหและหงุดหงิดใจได้มากที่สุดก็เป็นเพราะถ้อยคำที่เอ่ย ถึง “ชายหนุ่มหน้าตาดี” มารับมินโฮออกไปต่างหากเล่า ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิดพาลจะอารมณ์เสียอีกรอบ...ไอ้เด็กนั่น...


Flash Back

Rrrrrrrr

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเรียกความสนใจให้คนที่กำลังคร่ำเคร่งกับงานที่กองอยู่ตรงหน้าให้หันมาสนใจ ชางมินเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเบอร์ที่โทรเข้ามา เบอร์ของบ้านเขาเอง ปกติไม่เคยโทรมาในเวลาที่เขากำลังทำงานอยู่แบบนี้ ยกเว้นมีเรื่องสำคัญ หรือว่า...จะมีเรื่องสำคัญจริงๆ เมื่อคิดได้ดังนั้นชางมินจึงรีบกดรับทันที

“ว่าไง” ไม่รอให้อีกฝ่ายได้เอ่ยอะไร ชางมินกลับชิงถามขึ้นมาก่อน

(เอ่อ...คือ คุณมินโฮ ..)

“มินโฮทำไม” ยังไม่ทันได้ฟังจบก็ชิงถามขึ้นมาทันที เพราะแค่ได้ยินชื่อใครอีกคนที่อยู่ร่วมบ้านกับเขามาได้ร่วมปีแล้ว

(คือคุณมินโฮออกไปข้างนอกตั้งแต่สองทุ่ม ป่านนี้ยังไม่กลับเลยค่ะ) กลั้นใจพูดออกไปให้หมดครั้งเดียว เพราะรู้ว่าถ้าเป็นเรื่องของคุณหนูของบ้านคุณชายไม่เคยจะใจเย็นได้ซักที

“ว่าไงนะ !!” ชางมินตวาดผ่านไปทางโทรศัพท์เสียงดังจนคนที่อยู่ปลายสายสะดุ้ง แม้จะคาดการณ์ไว้แล้วแต่ก็ยังอดกลัวไม่ได้ ....ก็คุณชายน่ะเวลาโมโหน่ากลัวน้อยเสียเมื่อไหร่กัน

“ออกไปนานขนาดนี้แล้วทำไมเพิ่งโทรมาบอก” ชางมินยกนาฬิกาที่ข้อมือขึ้นดูก่อนจะตวาดออกไปอีกครั้ง เพราะเวลาบ่งบอกไว้ว่าตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่มกว่าแล้ว

(ขะ ขอโทษค่ะ แต่เพราะคุณหนูบอกว่าจะไปไม่เกินสองชั่วโมงก็จะกลับ เราก็เลยยังไม่ได้โทรมารายงานคุณชายค่ะ)

แม้จะดูเป็นการแก้ตัวอาจจะทำให้ผู้นายโกรธมากขึ้นไปอีกแต่สิ่งที่พูดคือความจริง

“แล้วมินโฮไปไหน ไปกับใคร” ชางมินสูดลมหายใจเลึกๆเข้าปอดเพื่อระงับอารมณ์โมโหที่กำลังอัดแน่นอยู่ในอก ก่อนจะเอ่ยถามออกมาเรียบๆ

(คุณหนูไม่ได้บอกไว้ค่ะว่าจะไปไหน แต่มีผู้ชายคนมารับ คุณหนูบอกแค่ว่าเป็นเพื่อนค่ะ) คนรับใช่รีบละล่ำละลักบอก

“ฉันสั่งไว้แล้วใช่มั้ยว่าไม่ว่ามินโฮจะไปไหนให้โทรมารายงานฉันตลอด แล้วนี่อะไรไปไหนกับใครก็ไม่รู้แต่ป่านนี้เพิ่งโทรมาบอก !!!” หลังจากระงับอารมณ์ได้ไม่ถึงนาที การโมโหระลอกสองก็ตามมาติดๆเพราะข้อความที่ออกมาจากปากของคนรับใช้ เร่งให้อารมณ์ยิ่งขุ่นมัวมากขึ้นกว่าเดิม ชางมินกดปิดโทรศัพท์ก่อนจะกดเบอร์ของใครอีกคนที่กำลังทำตัวเป็นเด็กไม่ดีแอบหนีเที่ยว มือหนายกโทรศัพท์ไว้ที่หูฟังสัญญาณที่ดังขึ้นแต่กลับไร้การตอบรับของเจ้าของของมัน ทำอย่างนั้นซ้ำๆหลายรอบจนรอไม่ไหว พาร่างสูงๆของตัวเองออกจากห้องมาหยุดอยู่ที่หน้าโต๊ะทำงานของเลขาคนสนิท

“คยูฮยอน” ชางมินเรียกเลขาของตัวเองให้เงยหน้าขึ้นมาจากงานที่กำลังทำอยู่เพื่อรอรับคำสั่งจากเขา

“อ๊ะ ครับ คุณชางมินมีอะไรให้ผมรับใช้หรือครับ” คยูฮยอนที่เห็นว่าใครเรียกรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วเอ่ยถามคำถามตามหน้าที่

“ช่วยโทรไปหามินโฮให้ฉันทีสิ” เอ่ยบอกเรียบๆ แต่เรียกสีหน้าสงสัยให้กับอีกคนเป็นอย่างดี ว่าเหตุใดเจ้านายของตนถึงไม่โทรเอง เพราะทุกครั้งถ้ามีชื่อของคุณมินโฮอยู่คุณชางมินจะเป็นคนจัดการเองทั้งหมด แต่ต่อให้สงสัยอะไรมากแค่ไหนก็ต้องหยุดความคิดไว้แค่นั้น ก่อนจะยกโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมากดเบอร์ของคนที่เขามีเบอร์ไว้นานแล้วแต่ไม่เคยจะได้ใช้ซักที

ตื๊ดดด ตื๊ดดด ตื๊ดดด

(ฮัลโหล) เสียงโทรศัพท์ดังอยู่ไม่นานก็มีคนรับ

“อ่า สวัสดีครับ ไม่ทราบว่านั่นใช่คุณมินโฮหรือเปล่าครับ” คยูฮยอนรีบเอ่ยถามทันทีที่มีคนรับสาย แต่เสียงเพลงดังๆที่ลอดผ่านมาตามสายก็สร้างความงุนงงให้ไม่น้อย

(ฮาโหล ช่วยพูดดังๆหน่อยได้มั้ยครับ ไม่ค่อยได้ยินเลย) เสียงอีกฝ่ายตะโกนตามมา ทำให้คยูฮยอนต้องตะโกนกลับเช่นกัน

“ผมถามว่านั่นใช่เบอร์คุณมินโอหรือเปล่าครับ” ชางมินที่ยืนมองเลขาของตัวเองคุยเสียงดังก็ขมวดคิ้วอย่างสงสัยใคร่รู้ว่าทำไมถึงต้องพูดเสียงอย่างนั้น

(ใช่ครับ ไม่ทราบว่านั่นใครครับ) มินโฮตอบคำถามพร้อมกับถาม เพราะเบอร์ที่โชว์หลาอยู่หน้าโทรศัพท์ไม่ใช่เบอร์ที่คุ้นเคยเลย

“ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนเนี่ย คุณมิ...” ยังถามไม่ทันจบโทรศัพท์ในมือก็โดนแย่งไปถือไว้ในมือของเจ้านายตัวเอง ที่ยืนฟังเขาคุยโทรศัพท์มาซักพักแล้ว แต่ทั้งที่เป็นคนแย่งโทรศัพท์ไปกลับไม่เอ่ยปากพูดอะไรเลยซักคำ ยืนฟังเสียงเพลงที่ดังออกมาจากโทรศัพท์อยู่อย่างนั้น

(ฮัลโหล ๆๆ นี่คุณ ยังอยู่หรือเปล่าเนี่ย ฮัลโหล ) เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบมินโฮจึงตะโกนเรียกซ้ำๆ ก่อนจะยู่ด้วยความขัดใจเมื่อคนโทรมาตัดสายทิ้งไปแล้ว

“อ่ะ ขอบใจนะ คยูฮยอน “ ชางมินยื่นโทรศัพท์คืนให้เจ้าของ แล้วบอกขอบใจลูกน้องคนสนิท

“เอาล่ะ นายก็กลับบ้านได้แล้ว ฉันเองก็จะไปตามเด็กดื้อกลับบ้านเหมือนกัน เจอกันพรุ่งนี้นะ” พูดจบก็เดินออกไปไม่ทันให้อีกคนได้ล่ำลา






“อะไรวะ บ้าชะมัด ตัดสายเฉยเลย” มินโฮบ่นหงุงหงิงใส่โทรศัพท์อยู่คนเดียวอย่างไม่สู้จะพอใจคนที่โทรมา

“ใครโทรมาอ่ะ มินโฮ หน้ามุ่ยเชียว” ผู้ชายหน้าตาน่ารักที่นั่งอยู่ข้างสะกิดถามคนที่ทำหน้าบึ้งให้กับโทรศัพท์เครื่องหรูอย่างกับว่ามันมีความผิดอย่างนั้น

“ไม่รู้เหมือนกัน คุยยังไม่ทันจะรู้เรื่องก็วางเฉยเลยอ่ะ”

“อ้าว ซะงั้นอ่า” คนถามเองทำหน้าเซ็งแทนเพื่อนที่กำลังสนุกแต่ดันมีคนโทรมาขัดจังหวะ

“เออ ..นี่คีย์ ฉันว่าจะกลับอ่ะ ป่านนี้ชางมินกลับบ้านแล้วมั้ง ”

“หรอ งั้นเดี๋ยวรอให้จงฮยอนกับแทมินกลับมาก่อนละกัน จะได้กลับพร้อมกันเลย” คนน่ารักบอกเพื่อนสนิท มินโฮพยักหน้ารับ ก่อนจะหันไปทางที่เพื่อนอีกคนที่มาด้วยกันบอกว่าจะไปเข้าห้องน้ำแต่นี่มันก็นานแล้วทำไมยังไม่มาเสียที

“น้องมินโฮอยากกลับแล้วหรือครับ นี่ยังไม่ดึกเท่าไหร่เลย อยู่ต่ออีกนิดเถอะนะครับ”เด็กหนุ่มหน้าตาดีร้องถามแกมรั้งมาจากที่นั่งฝั่งตรงข้ามกับมินโฮ พร้อมทำหน้ากับน้ำเสียงเศร้าๆ ที่เผื่อคนที่ตัวเองหมายตาไว้จะเห็นใจอยู่ต่อ

“เอ่อ ครับ ขอโทษรุ่นพี่ด้วยนะครับ ผมต้องกลับแล้วจริงๆ” ตัวมินโฮอยากกลับตั้งนานแล้วแต่รุ่นพี่คนนี้ก็คอนรั้งไว้ตลอด เขาก็เลยจำใจต้องอยู่ต่อ แต่ตอนนี้คงไม่ได้แล้วเพราะชางมินโทรมาหลายครั้งแต่เขาไม่ยอมรับสาย

“ว้า น่าเสียดายจัง เอาไว้โอกาสหน้าเรามาด้วยกันอีกนะครับ” รุ่นพี่คนเดิมยังคงส่งสายตาอ้อนวอนแกมเลี่ยนมาให้ไม่เลิก มินโฮได้แต่ยิ้มเจื่อนกลับไป

บทสนทนาเงียบลงมินโฮรอเจ้าเพื่อนตัวดีที่หายตัวไปกับรุ่นน้องของเขานานสองนาน ไม่ได้มีทีท่าว่าจะกลับมาทำเอาคนรอกระวนกระวายใจเพราะตอนนี้เวลามันจวนเจียนจะเที่ยงคืนอยู่แล้ว แต่ยังไม่ทันจะได้คิดอะไรต่อก็มีแรงกระชากที่แขนอย่างแรงจนต้องร้องออกมาเพราะเจ็บ

“โอ้ย!! คะ ” เพราะแรงกระชากทำให้มินโฮกระแทกเข้าอย่างจังกับอกของคนกระชาก คนตัวเล็กเงยขึ้นเพื่อเตรียมที่ด่าคนที่ทำรุนแรงกับเขาอย่างนี้เต็มที่ แต่กลับต้องทำหน้าตื่นแทนเพราะคนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ปกครองของเขากำลังยืนจ้องหน้าเขาอยู่

“ชะ ชาง มิน”

“ใช่ ฉันเอง ดึกดื่นมาทำอะไรแถวนี้ชเวมินโฮ” ชางมินตอบคนที่กำลังหน้าซีดทั้งยังมองเขาเหมือนไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าเขาจะมาอยู่ที่นี่ได้ แต่ยังไม่ทันได้คำตอบก็มีเสียงของใครคนหนึ่งดังขัดขึ้นซะก่อน

“เฮ้ย ปล่อยน้องมินโฮเดี๋ยวนี้นะ” รุ่นพี่ตัวดีตะโกนออกมาทั้งยังดึงตัวมินโฮให้มาหลบอยู่ด้านหลังของตัวเอง

“อะ เอ่อ รุ่นพี่ครับ”

“ไม่เป็นไรน้องมินโฮ ไม่ต้องกลัวนะครับ” คนที่ทำเก่งออกมาปกป้องคนอื่นคงยังไม่รู้ชะตาตัวเองกลับจ้องหน้าคนที่เป็นผู้ใหญ่กว่าตัวเองกวนๆ แต่วินาทีนี้ชางมินไม่สนใครทั้งนั้นนอกคนตัวเล็กที่ยังก้มหน้าหลบตาเขาเท่านั้น

“มินโฮกลับบ้าน” คำเดียวสั้นๆที่ออกมาจากปากของร่างสูง ชวนให้คนฟังขนลุกใม่น้อย

“ครับ” ตอบรับแทบจะทันทีโดยไม่ต้องคิดให้เมื่อยสมองเพราะตอนนี้คนมาตามถึงจะไม่ได้ทำหน้าโหด แต่แววตาแบบนั้นการันต์ตีได้ว่ากำลังโมโหมากๆอยู่แน่นอน

“เฮ้ย นี่นายเป็นใคร จะพาน้องมินโฮไปไหน”เจ้ารุ่นพี่คนเดิมยังคงไม่เลิก เดินออกมาขวางหน้าชางมินไว้

“รุ่นพี่ไม่เป็นไรหรอกครับ ปล่อยมินโฮเขากลับไปเถอะ”คีย์ที่ยืนดูอยู่นานรีบดึงแขนคนทำเก่งเอาไว้ เพราะขืนปล่อยไว้ได้มีเรื่องกันแน่ๆ

มือหนาจับแขนเล็กๆของมินโฮแล้วลากออกมาจากผับหรู แต่กว่าจะมาถึงบ้านก็กินเวลาไปเกือบชั่วโมงแล้ว



Flash Come


มินโฮถอดเสื้อผ้าออกไปจากตัวจนร่างกายเปลือยเปล่า ก่อนจะเปิดฝักบัวให้น้ำอุ่นราดรดลงบนตัวไล่ความเมื่อยล้าออกไปจากกาย รู้สึกดีจนลืมเรื่องที่กำลังขัดเคืองใจอยู่ไปชั่วขณะ น้ำอุ่นๆที่พร่างพรมลงบนตัวทำให้ผิวขาวๆขึ้นสีชมพูระเรื่อชวนมอง มือเรียวลูบไล้ไปตามร่างกายเพื่อชำระล้างคราบเหงื่อไคลและกลิ่นที่ติดมาจากผับให้ออกไปจากตัว สบายเสียจนลืมว่าเวลานั้นผ่านมานานแค่ไหนกว่าจะรู้ว่าควรจะหยุดอาบเสียทีเวลาก็ผ่านไปเกือบชั่วโมงแล้ว มินโฮปิดน้ำแล้วเดินไปหยิบเสื้อคลุมมาสวม พลางกระหวัดคิดไปถึงคนตัวโตที่ตัวเองกำลังโมโหอยู่

“ป่านนี้ คงหลับไปแล้วมั้ง ก็ดี มาบอกว่าจะทำโทษเรา ตัวเองไม่เคยจะใส่ใจเค้าแท้ๆ เคนบ้า” มินโฮบ่นให้คนตัวเองนึกหมั่นไส้พร้อมกับผูกสายเสื้อคลุมให้เรียบร้อย ก่อนจะเปิดประตูออกจากห้องน้ำไป เพราะมัวแต่บ่นทั้งยังคงมีความหงุดหงิดอยู่ไม่น้อยจึงทำให้ไม่ได้สังเกตว่ามีใครอีกคนอยู่ในห้องกว้างๆนี้กับตน ส่วนคนที่ถือวิสาสะเข้าห้องคนอื่นก็นั่งอมยิ้มมองตามเจ้าของห้องที่ยังบ่นให้ตนเองไม่หยุดอย่างเอ็นดู นึกแปลกใจอยู่เหมือนกันทั้งที่เขานั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้ แต่อีกฝ่ายกลับทำเหมือนไม่เห็นเขาเสียอย่างนั้น ทำเป็นมองไม่เห็นหรือมองไม่เห็นจริงๆกันแน่อย่างนี้....มันต้องพิสูจน์

ร่างบางเดินมาหยุดที่หน้ากระจกมองหน้าตัวเองผ่านกระจกใสพลางครุ่นคิดถึงเรื่องต่างๆที่ผ่านมาระหว่างเขากับเจ้าบ้านที่คนเป็นพี่ฝากฝังให้ดูแลเขาแทนตัวเองที่ต้องไปดูแลบริษัทที่อยู่ฝรั่งเศส มินโฮยืนเหม่อลอยอยู่หน้ากระจกอย่างนั้นจนไม่ได้รู้ตัวเลยว่ามีใครเดินมาซ้อนอยู่ข้างหลังนานแล้ว

หมับบ

“เฮ้ยย” ร่างบางสะดุ้งสุดตัวที่จู่ๆก็ถูกกอดจากทางด้านหลัง ก่อนจะหันกลับไปมองคนที่กอดตัวเองเสียแน่น แล้วก็ต้องตกใจเมื่อคนที่กอดอยู่เป็นคนที่เขาบอกกับตัวเองว่าไม่มีทางจะเข้ามาห้องนี้ได้อย่างแน่นอน

“ชางมิน!!”

“ทำไมอาบน้ำนานจัง ฉันมารอตั้งนานแล้วนะ แต่ว่า...อาบนานแล้วตัวหอมอย่างนี้ก็ไม่เป็นไร” พูดพลางกดจมูกลงไปตรงซอกคอขาวที่มันดูยั่วตามาแต่แรก

“คุณเข้ามาได้ยังไง ก็ผม..”

“ล็อกประตูแล้วใช่มั้ยล่ะ” ชางมินช่วยต่อประโยคให้จบ ยกยิ้มเจ้าเล่ห์ไม่ให้คนที่ถูกกอดทันได้เห็น แล้วยื่นกุญแจดอกเล็กไปตรงหน้าร่างบางให้ได้รู้คำตอบ

“คุณ !! ขี้โกงนี่นา แอบเก็บกุญแจห้องผมไว้” มินโฮเพิ่งรู้ตัวว่าคิดไม่ทันคนเจ้าเล่ห์เลยซักนิด แล้วยังพลาดขั้นรุนแรงปล่อยให้ตัวอันตรายบุกเข้ามานอนรอถึงในห้องอย่างสบายใจ ยิ่งคิดก็ยิ่งเหมือนถูกเอาเปรียบ ตัวเล็กแจกค้อนให้ร่างสูงทั้งยังหันหน้าหนี ปากบางเม้มแน่นเหมือนพยายามอดกลั้น แรงสั่นน้อยๆที่ได้รับจากคนที่ตัวเองกอดอยู่ทำให้ชางมินนึกสงสัย จับตัวร่างบางให้หันหน้ากลับมา แต่ร่างบางกลับเอาแต่ก้มหน้า สองมือหนาจึงประคองใบหน้าน่ารักขึ้นเพื่อมองว่าคนตัวเล็กนี้เป็นอะไร แล้วก็ต้องตกใจเพราะน้ำตาที่ไหลอาบแก้มใสและแรงสะอื้นที่ยังมีอยู่ ชางมินทำอะไรไม่ถูกที่จู่ๆร่างบางก็ร้องไห้ขึ้นเสียเฉยๆ

“โกรธหรือ ฉันขอโทษ” แค่คิดว่าจะแกล้งเล่นเท่านั้นไม่คิดว่าจะทำให้อีกคนถึงกับเสียน้ำตา ร่างสูงดึงร่างบางเข้ากอดเหมือนจะขอโทษและปลอบโยน ยิ่งกอดขึ้นเมื่อเสียงสะอื้นดังเรื่อยๆเหมือนจะไม่หยุดลงง่ายๆ

“ ฮึก...คะ คุณ มัน ฮึก บ้า ฮือๆ” ร่างสูงยกยิ้ม ทั้งที่ร้องไห้อยู่แต่ยังอุตส่าห์ด่าเขาได้

“นี่ ถ้าเธอยังไม่หยุดร้อง ฉันจะจูบเธอแล้วนะ” ก้มลงกระซิบที่ข้างหูให้คนตัวเล็กรู้สึก และก็ได้ผลเพราะคนที่กำลังร้องไห้ไม่หยุด ก็หยุดร้องเอาดื้อๆ

“อย่านะ” พูดทั้งๆที่มือปิดปากเอาไว้ ชางมินปล่อยมือข้างหนึ่งออกจากเอวบาง แล้วดึงมือของร่างบางออกจากริมปากสีสวยที่เขาอยากจะลิ้มรสหวานๆของมันอีกครั้งใจจะขาด


“อย่าห้ามเลย เพราะต่อให้เธฮหยุดร้องยังไงซะ ฉันก็ยังจะจูบเธออยู่ดี”











“อย่าห้ามเลย เพราะต่อให้เธฮหยุดร้องยังไงซะ ฉันก็ยังจะจูบเธออยู่ดี”

นั่นเป็นประโยคที่ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของมินโฮ แต่ตอนนี้ประโยคเหล่านั้นกลับหายไปเพราะยังไม่ทันจะได้คิดอะไรให้มากมายร่างสูงก็กดจูบลงมาทั้งดูดดื่มทั้งเรียกร้อง แต่มันก็ทั้งอ่อนโยนและอ่อนหวาน เนิ่นนานกว่าที่ริมฝีปากหนาจะถอนออกแต่ก็เพียงชั่วครู่ก่อนจะบดเบียดลงมาอีกครั้งเหมือนไม่รู้จักพอ ลิ้นหนาที่กำลังสำรวจโพรงปากหวานกวาดต้อนลิ้นเล็กให้จนมุมและยอมตอบรับลิ้นของตนให้ได้ชื่นใจ

มือเล็กบีบหัวไหล่หนาเมื่อรู้สึกว่าอากาศที่ใช้หายใจกำลังหมดไปเพราะถูกช่วงชิงไปเป็นเวลานาน ชางมินค่อยๆผละออกแล้วมองริมฝีปากบางที่บวมเจ่อ แม้จะรู้เสียดายแต่ค่ำคืนนี้ก็ยังมีอะไรอีกมากให้ได้ทำ

“มะ มองอะไร” ร่างบางที่รู้สึกว่าตัวเองจะโดนสายตาคมคู่นั้นจ้องจนตัวเขาจะกร่อนไปหมดแล้วร้องถามขึ้น เขาคงไม่รู้สึกอะไรมากมายเท่าไหร่ถ้าสายตาคู่มันไม่ได้ทำให้เขารู้สึกร้อนไปหมดแบบนี้

“มองคนน่ารัก ทำไม มองไม่ได้หรอ” ร่างสูงยกยิ้ม สายตาก็ยังไม่ละออกจากดวงหน้าน่ารักที่ขึ้นสีชมพูเรื่อ ทำไมน่ารักอย่างนี้นะ...มินโฮ

“ไม่ได้”

“งก แค่มองไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย ทำหวงไปได้” พูดตัดพ้อน้อยๆ นิ้วยาวเชยคางมนขึ้นให้ตาเรียวสวยคู่นั้นหันมาสบตากับเขา แต่อีกฝ่ายดูจะเขินเอามากๆเพราะนอกจากหน้าจะแดงขึ้นอีก ยังเสตาหลบ

“มะ ไม่เห็นจะน่ารักตรงไหน ผมออกจะตัวโตแล้วก็สูง ไม่มีตรงไหนที่น่ารักซักนิด” ปลายเสียงที่แผ่วลงเรียกให้คนที่กอดอยู่กระชับกอดให้แน่นขึ้นไปอีกเพื่อปลอบโยนเพราะรับรู้ได้จากน้ำเสียงที่เหมือนจะน้อยใจตัวเอง

“แต่เธอตัวเล็กกว่าฉัน รอยยิ้มของเธอก็น่ารัก แก้มขาวๆนี่ก็น่ารักแล้วยังหอมมากๆอีกด้วย แล้วยังมีตรงไหนอีกน้า อ๋อ..ตรงนี้ไง ตาของเธอก็สวยมากๆ แล้วยังมาบอกอีกว่าตัวเองไม่น่ารัก” ชางมินไล้นิ้วยาวไปตามส่วนที่ตัวเองพูดถึง จบลงตรงตาสวยก่อนจะกดจูบลงไปเบาที่เปลือกที่หลับพริ้มเหมือนจะรอจูบนี้อยู่ ร่างบางลืมตาขึ้นหลังจากร่างสูงถอนจูบออก มองเข้าไปในตาคู่คมเพื่อจะค้นหาความจริงว่าคำพูดที่ออกมาจากปากคู่นี้มันมีความจริงอยู่แค่ไหนกัน

เพราะตลอดเวลาที่อยู่ร่วมบ้านกันมาน้อยครั้งนักที่ร่างสูงจะมีเวลาให้เขาจริงๆจังๆ เวลาส่วนใหญ่จะหมดไปกับงานที่เหมือนมันจะมากมายเสียจนไม่มีวันหยุด เขาเคยนึกแปลกใจที่พี่ชายฝากให้ชางมินเป็นคนดูแลเขาแทนตัวเองที่งานยุ่งจนหาเวลาไม่ได้ และกับชางมินเองก็ไม่ได้ต่างจากพี่ชายนักที่เป็นพวกบ้างานขนาดหนัก แล้วข้อข้องใจทั้งหลายก็ถูกเฉลยออกมาหลังจากที่เขาเข้ามาอยู่บ้านหลังนี้ได้เดือนเศษ


ชางมิน...ไม่ได้ยอมตามใจเขาไปหมดเสียทุกอย่างแล้วยังดูจะเข้มงวดมากเสียด้วยซ้ำไป

แต่ถ้าเป็นพี่ชายที่จะยอมตามใจเขาไปทุกเรื่อง

ชางมิน...ต่อให้ไม่มีเวลาแค่ไหนแต่ถ้าเป็นเรื่องของเขาร่างสูงจะเป็นคนจัดการเองทุกอย่าง

แต่ถ้าเป็นพี่ชายไม่ว่าเมื่อไหร่ก็จะเป็นเลขาที่จัดการให้

อาจเป็นเพราะแบบนี้พี่ชายถึงได้ไว้ใจให้เพื่อนรุ่นน้องคนนี้ดูแลเขาแทนตัวเอง

แล้วก็ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่เขาเริ่มเอาแต่ใจกับอีกคนมากขึ้นเรียกร้องมากขึ้น แต่อีกฝ่ายก็ทำตัวเหมือนเดิมจนสุดท้ายเรื่องก็ไปจบอยู่ที่ผับ แล้วก็เป็นร่างสูงคนเดิมที่เป็นไปตามเขากลับ ชางมินบอกว่าห่วง เป็นเพราะหน้าที่ถึงห่วงหรือเป็นความรู้สึกที่ออกมาจากใจ แล้วยังจูบอีก

ที่จูบเพราะต้องการปราบพยศเด็กดื้ออย่างเขาหรือว่า....รักเขากันแน่

เขาไม่เคยแน่ใจอะไรเลย คุณรักผมหรือเปล่าชางมิน .....รักผมบ้างหรือเปล่า

แล้วที่จูบเขาล่ะมันคืออะไร....

และนั่นก็เป็นแค่สิ่งที่ได้แต่แอบคิดอยู่ในใจ แม้จะอยากถามกับเจ้าตัวมากแค่ไหนแต่ความกล้าก็ดูจะไม่มากพอให้ได้เอ่ยปากถามออกไป

แต่ว่ามันอาจจะถึงจุดที่ความอดทนหมดไปถึงได้พลั้งเผลอ....

“คุณ...รักผมบ้างหรือเปล่า อุ๊บบ..” ปากตัวดีก็เร็วเท่าความคิด เอ่ยถามออกมาอย่างไม่รู้ตัว และกว่าจะรู้ตัวก็พลั้งปากถามอะไรน่าอายออกไปแล้ว

“มินโฮ” ร่างสูงเรียกคนตัวเล็กเหมือนจะเพ้อ

“ปะ เปล่านะครับ ผม ผมไม่ได้คิดอะไรนะ จริงๆ อ๊ะ...อื้ม ” คนตัวเล็กเอ่ยแก้ตัวพัลวันเหมือนคนมีความผิด คำพูดแก้ตัวหายลงคอไปเมื่อริมฝีปากสีสวยก็ถูกครอบครอง ริมฝีปากหยักค่อยจูบไล้ไปบนเรียวปากบดคลึงเบาๆให้อีกฝ่ายเคลิบเคลิ้มแล้วดูดดึงริมฝีปากก่อนจะแทรกลิ้นอุ่นเข้าไปภายใน เรียวลิ้นกวาดต้อนความหวานในโพรงปากแล้วกระหวัดเกี่ยวกับลิ้นเล็ก ไม่เร่งรีบและเร่งเร้าให้อีกฝ่ายจูบตอบ เพราะเขาต้องการให้ร่างบางได้รับคำตอบที่อยากรู้ จูบอย่างอ่อนโยนและอ่อนหวานรสหวานแผ่ซ่านไปทั่วปากทั้งที่ยังเสียดายที่จะละจากแต่ก็ทำใจ เมื่อคนถูกจูบเริ่มหายใจติดขัด

ผิวหน้าแดงระเรื่อลามไปถึงใบหู สันจมูกคมคลอเคลียแนบชิดกับเรียวจมูกโด่งงาม ลมหายใจอุ่นรินอาบเนื้อบางใสจนสีเลือดอ่อนถูกขับขึ้นมาระบายแต้มผิวขาว อกบางสะท้อนขึ้นลงด้วยแรงหอบหายใจ

“รู้แล้วหรือยัง”

“.....................”

“ที่ถามน่ะ รู้คำตอบแล้วใช่มั้ย” ชางมินถามย้ำเมื่อคนตัวเล็กยังเอาแต่เงียบ มินโฮช้อนตาขึ้นมองสบตากับคนถาม จ้องลึกลงไปในดวงตาคู่นั้นเหมือนจะหาคำตอบ ก่อนจะตอบออกมา

“ก็คุณเอาแต่จูบ แล้วจะให้ผมรู้อะไรล่ะ” คำตอบที่คนถามไม่คิดว่าได้ทำเอาคนฟังแทบล้มทั้งยืน กับคำตอบที่แสนจะใส่ซื่อยิ่งตอนนี้ตากลมโตมองมาที่เขาเหมือนไม่เข้าใจ เขามั่นใจว่ามินโฮรู้คำตอบแน่นอน แต่ทำไมมันถึงกลายเป็นแบบนี้ล่ะ....

ไม่รู้จริงๆหรือว่าแกล้งไม่รู้กันแน่....

นี่เขากำลังจะโดนเด็กเอาคืนหรืออย่างไรกัน….

“ว่าไงล่ะครับ ทำไมไม่ตอบผมล่ะ” รบเร้าจะเอาคำตอบ ร่างบางเองก็ดูเหมือนจะได้ใจที่ซักครั้งจะแกล้งคนตัวโตได้สำเร็จ ถึงแม้มันจะแค่เล็กน้อยแต่ก็ยังดีที่ได้ทำบ้าง เขาอยากให้ร่างสูงตอบออกมาให้ได้ยินไม่ใช่บอกทางอ้อมแบบนี้

ยิ่งเห็นการรบเร้าจะเอาคำตอบด้วยท่าทางน่ารักๆ โดยการเอียงคอเล็กน้อยแล้วยังทำตาปริบๆ เหมือนจะเป็นการย้ำว่าตัวเองนั้นไม่ได้รับรู้ในสิ่งเขาบอกผ่านจูบหวานๆนั่นเลยซักนิด

ชางมินถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่มองหน้าคนน่ารัก แล้วก้มลงข้างใบหูเล็กแล้วกระซิบเบาๆ ลมหายใจปะทะกับแก้มนิ่ม แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่คนตัวเล็กรับรู้ เพราะนอกจากสิ่งที่ได้ยินจากร่างสูงแล้วก็ไม่มีอะไรอยู่ในห้วงของความรู้สึกนึกคิดของเขาแม้แต่น้อย

“ฉันจะถามอีกครั้ง”

“..........................”

“รู้แล้วหรือยัง”

“...................”ไม่มีการตอบรับออกจากริมฝีปากบาง จะมีก็แค่การพยักหน้าเบา ๆให้อีกคนถามได้รับรู้เท่านั้น

มาถึงตรงนี้ร่างสูงแน่ใจได้ทันทีว่าโดนร่างบางนี้แกล้งแน่นอน แล้วถ้าเขาจะเอาคืนบ้าง....

คงเตรียมใจไว้แล้วใช่มั้ย...ชเวมินโฮ



“ชางมิน คุณออกไปได้แล้ว ผมจะได้แต่งตัวซักที มันดึกแล้วนะ ผมง่วง” เมื่อเห็นร่างสูงเงียบไปร่างบางจึงเงยหน้าที่ก้มอยู่เพราะความเขินขึ้นมามอง แล้วสิ่งที่เห็นคือสีหน้าและแววตาที่ไม่น่าไว้ใจมันได้กลับมาอีกแล้ว !!!

และเมื่อสำนึกได้ว่าคงไม่ปลอดภัยสำหรับตัวเอง เลยจัดการไล่คนตัวสูงกลายๆ บอกว่าตัวเองนั่นง่วงงุนเต็มที เพื่อขอความเห็นใจ แต่ดูเหมือนว่าคำไล่นั้นไม่ได้ผ่านโสตประสาทการรับรู้ใดๆของร่างสูงเลย อีกคนถึงได้เอาแต่จ้องมองเขาเหมือนกินเขาเข้าไปทั้งตัวไม่เลิก

“ชะ ชางมิน” ร่างบางเขย่าแขนร่างสูงเบาๆเรียก เมื่ออีกฝ่ายไม่ตอบรับคำขอ และก็ได้ผลแต่สิ่งที่ออกมาจากริมฝีปากนั้นทำให้มินโฮสำนึกได้ว่า....ผู้ชายคนนี้มันหมาป่าชัดๆ !!!

“ไม่ต้องแต่งหรอก ยังไงซะเดี๋ยวก็ต้องถอดอยู่ดี”

“ !! “ ไม่ทันให้ร่างบางต้องหาคำตอบเจอ ร่างสูงก็ช้อนตัวอุ้มขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน

“ แว้กกกกกกก คุณทำอะไรเนี่ย ปล่อยผม ปล่อยๆๆๆๆๆๆๆๆ” ร่างบางดิ้นแรงๆ สะบัดแขนสะบัดขา เพื่อที่จะให้คนอุ้มปล่อยเขาลงมา แต่ร่างบางคงจะลืมไปว่าตัวเองนั้นยังใส่แค่เสื้อคลุมอาบน้ำ เมื่อสะบัดแรงๆ ชายเสื้อที่เปิดออกทำให้ขาขาวๆโผล่ออกมายั่วสายตาให้คนมองต้องเร่งฝีเท้ามากขึ้นกว่าเดิม

“ปล่อยๆๆ บอกให้ปล่อยไง”

“อยากให้ปล่อยหรือ?” ร่างบางรีบตอบโดยการพยักหน้าแรงๆ ร่างสูงส่งยิ้มกลับ ทั้งๆที่เป็นแค่ยิ้มแต่ร่างบางกลับคิดว่า...มันช่างน่ากลัว

“ได้สิ” คนเจ้าเล่ห์ค่อยๆวางร่างบางลงบนเตียง ก่อนจะตามลงมาคร่อมคนตัวเล็กเอาไว้

“เฮ้ย คุณออกไปนะ” มินโฮใช้สองมือดันอกหนาให้ออกห่าง ทั้งยังเบี่ยงหน้าหลบก็เพราะตอนนี้หน้าหล่อๆนั่นอยู่ห่างจากหน้าของเขาไม่ถึงนิ้ว

“อะไร? ไล่กันอีกแล้ว ใจร้ายชะมัด” ร่างสูงพูดตัดพ้อแล้วทำหน้าเศร้า แต่แววตากลับมีประกายสนุกอยู่ข้างใน

“แต่ว่าคุณ...”

“ไม่เอา เลิกเรียกคุณซักทีเถอะ” พูดยังไม่ทันจบร่างสูงก็พูดขัดขึ้นมา เรียกความสงสัยให้กับร่างบางที่อยู่ๆชางมินก็ให้เขาเลิกเรียกว่า..คุณ..ทั้งๆที่ก็เรียกอย่างนี้มาตลอด จะให้มาเปลี่ยนเอาอะไรตอนนี้

“แล้วจะให้ผมเรียกว่าอะไรล่ะครับ”

“ก็เรียกพี่ชางมินสิ ลื่นหูกว่ากันเยอะ อ่อ...แล้วก็แทนตัวเองว่ามินโฮด้วย”

“โหยย ไม่เอาอ่ะ น่าอายจะตาย” ร่างบางปฏิเสธทันทีไม่ต้องคิดให้มากความ ใครจะยอมทำเรื่องน่าอายแบบนั้นกันเล่า

“น่านะ นะๆมินโฮ เรียกให้พี่ฟังหน่อยสิ” ร่างสูงอ้อนขอพร้อมกับทำตาปริบๆ ....เอาว่ะ ลงทุนทำขนาดนี้แล้วไม่พูดให้มันรู้ไป !!

“..................”

“นะคนดีพูดให้พี่ฟังหน่อย”

“งื้ออ แต่วะ...” พอถูกรบเร้ามากๆเข้าร่างบางก็ทำท่าจะใจอ่อน คนตัวสูงเห็นก็รีบอ้อนเข้าไปอีก

“นะคนดี”

“กะ ก็ได้” ในที่สุดก็ต้องยอมตามใจ

“...............”

“พะ พี่ชางมิน”

“เก่งมากเด็กดี เป็นเด็กดีก็ต้องมี...รางวัล..สินะ” ปากหยักยิ้มกว้างทันทีที่อีกคนยอมพูดน่ารักๆให้เขาได้ชื่นใจ แล้วหน้าที่ขึ้นสีระเรื่ออยู่แล้วก็เพิ่มดีกรีกลายเป็นแดงขึ้นมา ตอนนี้มินโฮเลยดูน่ารักมากๆแล้วหน้าอกขาวๆที่โผล่พ้นชายเสื้อคลุมอาบน้ำออกมาล่อตาล่อใจอยู่นานแล้วนั่นอีก เขาทนมาได้นานขนาดนี้ก็นับว่าเก่งมากแล้ว

ร่างสูงกดจูบลงบนริมฝีปากเรียวที่ไม่ว่าจะได้ครอบครองกี่ครั้งก็ไม่เคยเพียงพอ และยังรู้สึกอยากจะลิ้มรสหวานๆของมันอยู่ตลอดเวลา ปากหยักค่อยๆไล้ชิมความหวานช้าๆดูดดุนให้ริมฝีปากอิ่มเปิดออกแล้วแทรกลิ้นอุ่นเข้าชิมความหวานภายใน เรียวลิ้นที่รุกเร้านั้นค่อยๆเกี่ยวกระหวัดลิ้นเล็กเร่งเร้าให้ลิ้นเล็กตอบสนอง แล้วในที่สุดลิ้นเล็กก็ตอบรับสัมผัสที่เขามองให้อย่างเงอะงะ มือเรียวที่ทาบทับอยู่บนอกแผงหนาค่อยๆเลื่อนขึ้นโอบรอบลำคอแกร่ง

“อื้มม” เสียงครางที่หลุดออกมาลำคอสวยเรียกรอยยิ้มพอใจให้ร่างสูงได้เป็นอย่างดี มือเลื่อนลงมาลูบไล้ที่เอวคอดที่เขาชอบกอดอยู่บ่อยๆ มืออีกข้างก็ใช้ดึงสายผูกเสื้อคลุมพร้อมทั้งปลดเสื้อให้หลุดออกตัวของร่างบาง

“อื้อ...” เสียงหวานท้วงขึ้นเมื่อเริ่มจะขาดอากาศ อกบางหอบสะท้อนขึ้นลงตาคู่โตที่ตอนนี้หรี่ปรือ หยาดน้ำใสที่คลออยู่สะกดให้คนมองยิ่งหลุ่มหลงมากขึ้น ภาพที่เห็นช่างตรึงตาไม่คิดว่าเด็กดื้อที่เขาชอบเรียกขานอยู่บ่อยครั้งพอถึงเวลาแบบนี้...กลับต่างออกไปแทบเป็นคนละคน

“อ๊ะ..อื้มม” ชางมินจูบลงที่ซอกคอขาว ลิ้นร้อนลากเลียลำคอขาวเนียนขบเม้มให้เกิดรอยสีกุหลาบขึ้นซึ่งก็เรียกเสียงครางหวานให้ออกมาจากร่างบางได้ไม่ยาก ใบหน้าสวยเงยหน้าขึ้นอย่างเสียวซ่านเมื่อมือหนาลูบไล้ขึ้นไปตามขาเรียวจนถึงสะโพกมนมือหนาบีบคลึงผิวเนียนนุ่มมืออย่างหลงใหล

ริมฝีปากร้อนจูบผะแผ่วลงบนผิวเนียนของมินโฮจูบไล้ลงเรื่อยๆจนถึงยอดอกสีหวานทั้งสองข้าง อกบางแอ่นขึ้นรับสัมผัสลิ้นร้อนดุนดันตุ่มไตสีชมพูจนแข็งเป็นไตสู้ลิ้น เสียงดูดผิวกายขาวเนียนดังขึ้นปฏิเสธไม่ได้ว่ารู้สึกดีเพียงใดแต่มันก็ยังน่าอายอยู่ดี มือเล็กจิกทึ้งผ้าปูที่นอนเพื่อระบายความรู้สึก

“อ๊า” เสียงหวานครางออกมาเสียงดังเมื่อร่างสูงลากลิ้นร้อนตามผิวเนียนไปจนถึงหน้าท้องแบนราบ กายบางบิดเร่า ปากหนาเลื่อนขึ้นมาหยอกเย้ากับยอดอกสีชมพูอีกครั้ง

“อะ อื้มม ชะ ชาง มิน อา” นิ้วเรียวแทรกลงบนกลุ่มผมสีเข้ม ร่างสูงผละออกจากอกสีหวานแล้วเคลื่อนกายขึ้นมองใบหน้าสวยที่หายใจหอบอยู่ใต้ร่างของเขา มือหนาลูบไล้แก้มขาวอมชมพูปัดผมที่ปรกหน้าเนียนออกแล้วกดจูบลงไปก่อนจะจูบที่เปลือกตาทั้งสองข้าง จมูกโด่งรั้น และจบลงที่ริมฝีปากอิ่มจูบเบาๆแล้วผละออก

“อ๊ะ....อื้อออ” เสียงหวานหลุดครางออกมาเมื่อปากหยักและเรียวลิ้นร้อนของร่างสูงสัมผัสกับผิวขาวเนียนด้านในขาอ่อน ดูดและขบผิวขาวเนียนนั้นสลับกันจนเกิดรอยสีกุหลาบทั่วผิวขาว

“อ๊า...ชาง มิน”

มินโฮร้องลั่นเมื่อชางมินรับแท่งเนื้อร้อนเข้าโพรงปากก่อนจะขยับขึ้นลง มือบางจิกลงกับไหล่หนาเพื่อระบายความเสียวซ่านที่ได้รับก่อนจะต้องจิกเกร็งมากกว่าเดิมเมื่อริมฝีปากร้อนของอีกฝ่ายจูบลงบริเวณส่วนปลายและละเลงเรียวลิ้นจนเสียงหวานต้องครางระงม

“อ๊า..อื้มมม ชางมิน อึก ไม่ไหวแล้ว อ๊า”

ร่างสูงดูดดุนส่วนปลายแรงและเร็วขึ้นเมื่อรู้สึกถึงน้ำขาวขุ่นที่เริ่มไหลออกมา

“อ๊า” เมื่ออารมณ์มาถึงที่สุดร่างบางก็ปลดปล่อยน้ำขาวขุ่นภายในปากของร่างสูง และร่างสูงก็กลืนมันลงคอเหมือนเป็นน้ำหวาน

“มินโฮ เป็นของพี่นะคนดี” แทนคำตอบร่างบางยกมือเรียวขึ้นมาแล้วโน้มใบหน้าคมลงมารับจูบที่เขามอบให้ ชางมินยิ้มกว้างพอใจกับคำตอบที่ได้รับ ร่างสูงจูบปากอิ่มอีกครั้งก่อนเลื่อนตัวลงกดจูบที่เรียวขาขาว

“อ๊ะ....” มินโฮร้องขึ้นเมื่อลิ้นอุ่นสอดเข้าโลมเลียในช่องทางที่อ่อนนุ่มของเขา ช่องทางสีสวยที่ไม่เคยมีใครได้รุกล้ำ สะโพกมนร่อนตอบรับสัมผัสที่พาให้เขาเคลิ้มไปอย่างง่ายดาย

“อ๊ะ จะ เจ็บ” เมื่อเปลี่ยนจากเรียวลิ้นมาเป็นนิ้วยาวสิ่งได้รับจึงเป็นอาการเจ็บแปลบตรงช่องทางที่กำลังถูกรุกรานอยู่

ร่างสูงยกตัวขึ้นจูบที่ขมับบางครั้งหนึ่งราวกับปลอบโยนก่อนจะค่อยๆกดนิ้วยาวเข้าไปจนมิด แล้วค่อยๆเริ่มขยับเข้าออกช้าๆ

“อ๊า....อื้อ...ชางมิน... ตรงนั้น อื้อ....” ร่างสูงยิ้มขึ้นเมื่อนิ้วยาวของเขากดลงบนจุดที่วาบหวามที่เรียกเสียงครางหวานหูออกมาจากร่างบาง นิ้วยาวขยับเข้าออกและเพิ่มจำนวนนิ้วขึ้นเป็นสามนิ้ว ร่างสูงส่งนิ้วขยับเข้าออกเร็วขึ้นจนร่างบางขยับสะโพกตอบรับนิ้วทั้งสามของเขา

“มินโฮ อย่าเกร็งนะ” เอ่ยปลอบก่อนจะหยัดกายขึ้นถอดชุดนอนที่สวมอยู่จากตัว ส่วนแข็งขืนที่ตื่นตัวเต็มที่พร้อมที่จะเข้าช่องทางอ่อนภายใน

ร่างสูงค่อยๆกดส่วนหน้าที่คับแน่นของตนเข้ามาในช่องทางสีสวยที่พร้อมแล้วสำหรับการรุกราน

“อ๊า เจ็บ เจ็บ ชางมิน” แขนเรียวยกขึ้นโอบรอบคอจิกเล็บลงบนหลังแกร่งเพื่อระบายความเจ็บที่เกิดขึ้น

“ทนอีกนิดนะคนดี” ชางมินจูบซับน้ำตาที่ไหลลงมา เขาเองก็เห็นใจร่างบางอยู่แต่ถ้าจะหยุดตอนนี้คงไม่ทันแล้วพราะอารมณ์ที่มันมีมากจนไม่อาจทนต่อไป

“อึก..มิน โฮ อา” ร่างสูงครางขึ้นเพราะช่องทางของร่างบางทั้งร้อนและรัดส่วนหน้าของเขาแน่นไปหมดจนเขาแทบจะรอไม่ไหว เมื่อเข้าไปจนสุดร่างสูงจึงเริ่มขยับเข้าออกเนิบนาบแล้วค่อยเพิ่มจังหวะให้เร็วขึ้น

ชางมินขยับกายเข้าหาร่างบางอย่างไม่หยุดหย่อนจนร่างบางๆของมินโฮต้องโยกคลอนไปตามแรงของคนด้านบน ภายในช่องทางร้อนยังคงตอดรัดแกนกายของเขาอย่างร้อนรุ่มทำเอาเขาแทบคลั่ง เสียงทุ้มครางต่ำในลำคอ

“อา..มินโฮ”

“อึก อ๊ะ อ๊า อื้มม” ร่างสูงกดจูบที่ริมฝีปากที่อ้าหอบร่างบางจูบตอบตอนนี้เขานึกอะไรไม่ออกแล้วนอกจากร่างสูงตรงหน้านี้เท่านั้น มือหนาเลื่อนไปสัมผัสกับส่วนอ่อนไหวที่ตั้งชันด้วยอารมณ์ ชางมินรูดมือขึ้นลงเพื่อให้ร่างบางไปถึงสวรรค์พร้อมๆกันเมื่อรู้สึกถึงแรงตอดรัดจากช่องทางร้อน วงแขนแกร่งสอดเข้าตรงเอวบางกอดรั้งคนตัวเล็กให้แนบชิดยิ่งขึ้น

ส่วนนั้นของร่างสูงเริ่มมีน้ำไหลออกมาจนเฉอะแฉะช่องทางรักไปหมด ดวงหน้าหวานเริดขึ้นอย่างมีอารมณ์จนจนชางมินทนไม่ไหวต้องฝังใบหน้าคมลงบนลำคอขาวเนียนอย่างอดไม่ได้ที่จะฝากรอยรักเอาไว้

“อ๊ะ..อ๊ะ...ชาง มิน..อา..” มินโฮครางระงมเมื่อส่วนปลายของแกนากยสัมผัสเข้ากับจุดไวสัมผัสของเขา ร่างสูงเพิ่มจังหวะขยับกายให้มากขึ้นและรูดมือขึ้นลงถี่กระชั้นจนมินโฮหายใจติดขัดก่อนที่ร่างบางๆทั้งร่างจะกระตุกเบาๆแล้วปลดปล่อยน้ำรักออกมาเลอะมือและหน้าท้องแกร่ง

“อ๊ะ...ชะ ชางมิน...จะไป อ๊ะ แล้ว......อ๊า!!”

“อึก...มินโฮ....อาาา”

ร่างสูงกระแทกแกนกายเข้าหาอีกสองสามครั้งและปลดปล่อยอารมณ์วาบหวามออกมาเต็มช่องทางจนน้ำรักนั้นไหลย้อนลงมาเมื่อเขาถอนกายออกมา ร่างบางนอนหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนอยู่บนเตียงนุ่มชางมินก้มลงจุมพิตหน้าผากเนียนอย่างแสนรัก

“มะ มินโฮรักพี่ชางมินนะฮะ” ร่างบางที่กึ่งหลับกึ่งตื่นพูดขึ้นราวกับละเมอ แต่ก็เรียกรอยยิ้มกว้างจากคนฟังได้เป็นอย่างดี

“พี่ก็รักมินโฮเหมือนกัน” อยากจะบอกแม้คนที่อยากให้ฟังจะหลับไปแล้วก็ตาม ร่างสูงก้มลงจุมพิตหน้ผากมนอีกครั้งก่อนจะรั้งร่างบางเข้ามากอดแน่น แล้วหลับไปด้วยกัน






เช้านี้อาจจะเป็นเช้าที่สดใสของใครหลายๆคน รวมถึงสองร่างที่ยังนอนกอดกันอยู่บนเตียงอุ่น ไม่รับรู้และไม่สนใจถึงภายนอกที่กำลังดำเนินไป

“มินโฮฮฮฮฮฮฮ พี่ชายมาแล้ว” เสียงทุ้มๆของชายหนุ่มร่างสูงหน้าหล่อเหลานามว่า ...ชเวซีวอน มาถึงคฤหาสน์ตระกุลชิมแต่เช้า เพื่อจะได้เจอน้องชายสุดที่รักที่ไม่ได้เจอกันนานเกือบปี

“อ้าว อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณซีวอน กลับมาจากฝรั่งเศสตั้งแต่เมื่อไหร่คะ” แม่บ้านเอ่ยทักร่างสูงตามประสาคนคุ้นเคย

“ อรุณสวัสดิ์ครับป้า มาถึงก็ตรงมาที่นี้เลย แล้วมินโฮไปไหนครับ” ร่างสูงรีบถามหาน้องชายทันที เพราะเขามองจนทั่งแล้วไม่มีแววของมินโฮที่นี่เลย

“อ๋อ คุณหนูยังไม่ลงมาเลยค่ะ สงสัยจะยังไม่ตื่น จะให้ป้าตามเธอให้หรือเปล่าคะ”

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมขึ้นไปเอง จะได้เซอร์ไพร์เขาด้วย” พูดจบก็วิ่งหอบของพะรุงพะรังขึ้นชั้นบนไปอย่างอารมณ์ดี


ขอให้อารมณ์ดีให้ตลอดนะ...ซีวอน


ปังงง

“มินโฮ !! พี่ชายกลับมาละ..” สิ่งที่ร่างสูงเห็นคือร่างกายเปลือยเปล่าของน้องชายสุดที่รักและเพื่อนรุ่นน้องคนสนิทที่มีสภาพไม่ต่างกัน นอนกอดกันกลมหลับอยู่บนเตียง

“ไอ้ชางมินแกทำอะไรน้องช้านนนนนนนนนนนนนน”




....จบเหอะ....