“ไอ้ชางมินแกทำอะไรน้องช้านนนนนนนนนนนนนน”
.
.
.
.
นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายของพี่ชายเมื่อชั่วโมงที่แล้ว ตอนนี้ผมกับพี่ชางมินนั่งเป็นนักโทษที่รอการสอบสวนอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก โดยมีพี่ชายที่นั่งจ้องหน้าพี่ชางมินอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อเหมือนพี่ชางมินไปข่มขืนลูกสาวของพี่ชายแล้วโดนจับได้อย่างไรอย่างนั้น ส่วนพี่ชางมินยังนั่งนิ่งจ้องหน้าพี่ชายกลับไม่สะทกสะท้านกับรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาตัวพี่ชายซักนิด ผมมองทั้งสองคนสลับกันไปมา ไม่มีคำพูดหลุดออกมาจากปากของทั้งคู่ นานเกินไปแล้วกับสงครามสายตานั่งจ้องหน้ากันไปมาอย่างนี้แล้วเมื่อไหร่จะรู้เรื่องกันซักที
แล้วความอดทนของผมก็หมดลง…
“ระวังท้องนะฮะ”อดประชดเล็กๆไม่ได้ ทำให้พี่ชายกับพี่ชางมินหันมามองผมตาขวางก่อนจะกลับไปจ้องตากันต่อ แล้วพูดออกมาเสียงดังฟังชัดว่า
“ไม่!!”
“แล้วจ้องตากันไม่เลิกอย่างนี้เมื่อไหร่จะได้คุยกันซักทีละ”
“.........”เงียบเป็นคำตอบที่ไม่อยากได้เลยสักนิด ทำเอาชเวมินโฮปวดหัว ตอนนี้เขาหิวจนจะกินช้างได้ทั้งตัวอยู่แล้ว แต่พี่ชายกับพี่ชางมินกลับมานั่งมองตาทำซึ้งกันอยู่ได้
“พี่สองคนนั่งรอผมอยู่ตรงนี้ก่อนนะฮะ เดี๋ยวผมมา”พูดจบก็ลุกขึ้นยืนทันที แม้จะยังรู้สึกเจ็บจากกิจกรรมเมื่อคืน แต่อารมณ์หิวมันมีมากกว่าจึงทำให้มองข้ามความรู้สึกเจ็บนี้ไปเสีย แต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวขาออกจากห้องรับแขกมือสองข้างก็ถูกฉุดไว้โดยคนสองคน
“จะไปไหน/จะไปไหน”สองเสียงถามขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ทำเอามินโฮระอาใจ....ทีอย่างนี้มาทำเป็นสามัคคีกัน
“จะไปกินข้าว หิว!! ถ้าพี่สองคนไม่หิวก็จ้องกันต่อไป แต่ผมหิวแล้ว ปล่อย!!”มินโฮสะบัดแขนเพื่อให้หลุดจากการเกาะกุมของพี่ชายและคนรัก แต่นอกจากจะไม่ปล่อยมือให้เขาไปทานข้าวแล้วยังหันไปจ้องกันต่ออีก
“ปล่อยมือน้องชายฉันเลย ชิมชางมิน!”คุณพี่ชายคนดียื่นมือข้างที่ว่างไปดึงมือของน้องเขยที่ตัวเองไม่ได้เต็มใจอยากให้เป็นซักนิดออก ส่วนน้องเขยตัวดีก็ไม่แพ้กันหึงแม้กระทั่งมือของพี่ชายคนรักเลยเกิดศึกแย่งมือชเวมินโฮแทนสงครามจ้องตา
“พี่นั่นแหละ ปล่อยมือเมียผมเลย! ปล่อยๆ”ชางมินยื่นมืออีกข้างไปตีมือของซีวอนเพื่อให้ปล่อยมือของมินโฮออก
“เฮ้ย!! พูดให้มันดีๆ ใครเมียแก”
“ก็ยืนทำหน้าน่ารักอยู่นี่ไง อย่างพี่ผมไม่เอามาทำเมียหรอก”
“ไม่ว้อย น้องชายฉันไม่ได้เป็นเมียใครทั้งนั้นแหละ มินโฮปล่อยมือมันเดี๋ยวนี้ !!”เมื่อทำให้อีกคนปล่อยมือไม่ได้ก็หันมาสั่งน้องชายตัวเองแทน
“อย่านะมินโฮ อย่าปล่อยมือพี่นะ”ชางมินก็ไม่ยอมน้อยหน้าส่งสายตาอ้อนวอนเต็มที่ โดยไม่ได้มองหน้าคนที่ถูกดึงไปดึงมาว่าทำหน้าอย่างไรอยู่
“.......”
“ปล่อยเดี๋ยวนี้นะมินโฮ”
“……”
“อย่าปล่อยนะมินโฮ”
“……..”
“ปล่อย!! / อย่า!!”
“พอสักที!!”เมื่อเส้นขีดความอดทนมาถึงที่สุดอีกครั้งมินโฮก็นะโกนออกมาสุดเสียง และได้ผลคนกำลังแย่งน้องชายกับคนรักหยุดทันที และพร้อมใจกันมองหน้ามินโฮอีกครั้ง
“ผมไม่ปล่อยมือใครทั้งนั้นแหละ”
“นี่เราจะขัดคำสั่งพี่หรอ”ซีวอนถามมินโฮเสียงเข้ม...ต้องข่มไว้ก่อนโว้ย...
“โอ้ยย ผมไม่ขัดคำสั่งหรือขัดใจใครทั้งนั้นแหละ ก็ผมไม่ได้จับมือใครจะให้ผมปล่อยได้ยังไง พวกพี่สิต้องปล่อยมือผม ปล่อย”พูดจบก็สะบัดมือทั้งสองข้างให้หลุดออกอีกครั้ง แต่มือของทั้งสองคนกลับติดแน่นไม่ยอมหลุดเสียที
“แกปล่อยก่อน”ซีวอนพยักเพยิดให้ชางมินปล่อยก่อนตน
“ไม่ พี่ปล่อยก่อนสิ”
“ไม่ต้องเกี่ยงกัน ปล่อยพร้อมกันทั้งสองคนนั้นแหละ”อีกครั้งที่มินโฮต้องเบรคทั้งคู่ก่อนที่จะเถียงกันไปมากกว่านี้
“ถ้าใครไม่ปล่อย...ไม่ต้องมาคุยกับผมอีกเลย”ร่างบางยื่นคำขาดและดูเหมือนจะได้ผล เพราะมือทั้งสองข้างถูกปล่อยออกราวว่ามือของตนเป็นของร้อนที่ไม่น่าแตะต้องเอาเสียเลย
“ดี ทีนี้ก็ไปทานข้าวได้แล้ว”คราวนี้ไม่มีคำปฏิเสธใดๆให้ได้แสลงหู มินโฮเดินนำมาที่โต๊ะอาหารก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ตัวเดิมที่นั่งอยู่เป็นประจำตามมาด้วยชางมินที่นั่งหัวโต๊ะ และซีวอนนั่งฝั่งตรงข้ามกับมินโฮ บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเหมือนจะเป็นไปได้ด้วยดี หากไม่ติดที่ผู้ร่วมโต๊ะอีกสองคนกำลังกัดกันทางสายตาอีกแล้ว มินโฮถอนหายใจออกมาน้อยๆสงสัยอาหารเช้ามื้อนี้เขาคงไม่ได้ทานมันอย่างมีความสุขแน่ๆ ถ้าร่างสูงทั้งสองคนยังไม่เลิกทำอะไรแบบนี้
“ทานเนื้อเยอะๆนะมินโฮ พี่ว่าเราผอมเกินไปแล้ว”คุณพี่ชายว่าพลางตักเนื้อลงบนจานน้องชาย
“ขอบคุณครับ”ยังไม่ทันจะได้ตักข้าวเข้าปาก เสียงของชางมินก็ดังขัดขึ้น
“มินโฮไม่ผอมซักหน่อยหุ่นกำลังดีเลย ทานกุ้งนี่ดีกว่า ทานเนื้อเยอะๆเดี๋ยวจะย่อยลำบาก”คุณน้องเขยว่าพลางตักกุ้งตัวโตวางลงบนจานให้คนรัก
“ขอบคุณฮะ พี่ชางมิน”ร่างบางกล่าวขอบคุณเบาๆก่อนจะก้มหน้าที่เริ่มจะเป็นสีชมพูลงมองจานข้าวของตัวเอง..ก็พี่ชางมินไม่ค่อยทำอะไรแบบนี้กับเขาเท่าไหร่เลยนี่นา... ชางมินยิ้มให้กับท่าทางของมินโฮแล้วหันไปยักคิ้วให้ซีวอนด้วยท่าทีเป็นต่อ
“พี่ว่ากินนี่ดีกว่ามีประโยชน์”
“ไม่ๆกินนี่กว่าจะได้แข็งแรง”
“นี่ดีกว่า”
“ไม่ๆนี่ดีกว่า”
“หยุด!! พอเลยทั้งสองคน”เมื่อทนไม่ไหวมินโอจึงลุกขึ้นห้ามศึกแย่งกันตักกับข้าวใส่จานของเขาเสียจนพูนจาน อาหารหลากชนิดลงมากองอยู่ในจานใบเดียว...คิดไว้แล้วเชียวข้าวมื้อคงไม่สงบสุขแน่ๆ ซีวอนกับชางมินหน้าซีดเพราะมินโฮโมโหขึ้นมาจริงๆแล้ว
“พวกพี่เล่นอะไรกันเนี่ย ทะเลาะกันเหมือนเด็กไปได้ ผมทนไม่ไหวแล้วนะ”ฮึ่ย..โมโห หิวก็หิว ถ้าเกิดวันนี้พี่ชายกับพี่ชางมินไม่ยอมคุยกันให้รู้เรื่องไป ชีวิตเขาจะสงบสุขได้ไหมเนี่ย และเหมือนจะคิดอะไรออกร่างบางจึงหันไปหาชางมินแล้วเรียกเสียงห้วน
“พี่ชางมิน”
“ครับ มินโฮ”เมื่อถูกเรียกก็ขานรับทันทีท่าทางเหมือนคนกลัวเมีย แตกต่างจากเมื่อคืนเป็นคนละคน
“เอากุญแจห้องทำงานของพี่มา”
“เอ๋?? มินโฮจะเอาไปทำไมหรือครับ”ถามเพราะสงสัยจริงๆ ว่าร่างบางที่แทบไม่เคยก้าวเท้าเข้าไปในห้องทำงานของเขา วันนี้จะเอากุญแจของห้องทำงานไปทำไมกัน
“เอามาเถอะน่า หรือว่า...ให้ผมไม่ได้”พอคิดได้อย่างนั้นร่างบางก็เบะปากออกเหมือนจะร้องไห้
“โอ๋ๆ พี่เดี๋ยวไปหยิบให้นะครับ”เห็นอย่างนั้นชางมินรีบลุกขึ้นไปหยิบกุญแจมายื่นให้กับร่างบาง มินโฮยิ้มกว้างพอใจที่ร่างสูงยอมตามใจ ก่อนส่งยิ้มหวานไปให้ซีวอนกับชางมิน แต่สำหรับทั้งสองคนแล้วรอยยิ้มแบบนี้เหมือนมันไม่ค่อยจะน่าไว้ใจเลย
^_____^ >>> มินโฮ
^_____^! >>> ซีวอน/ชางมิน
“พี่ซีอนฮะ ~”
“พี่ชางมิน~”
มินโฮเรียกทั้งสองเสียงหวานจ๋อยมันคงจะน่าเคลิ้มตามอยู่ไม่น้อยถ้าตอนนี้ไม่มีรังสีไม่น่าไว้ใจแผ่ออกมาจากตัวมินโฮเต็มไปหมด มันเหมือนทะเลก่อนจะมีพายุยังไงยังงั้น เงียบๆนิ่งๆแบบนี้แหละแล้วสุดท้ายก็จะกลายเป็นพายุลูกใหญ่ที่ทำลายทุกอย่างไม่เลือก
“อิ่มกันแล้วใช่มั้ย ^____^”
ถามไปอย่างนั้นแหละ จะกินอิ่มกันได้ยังไงก็มัวกัดตลอด พลอยทำให้เขาไม่อิ่มท้องไปด้วย...มันน่าโมโหจริงๆ
“...........................” เงียบคือคำตอบ ซีวอนกับชางมินมองหน้ากันต่างคนต่างเกี่ยงกันตอบ จนคนมองเริ่มหงุดหงิด
ปังงงง
“ผมถามว่าอิ่มแล้วใช่มั้ย !!!”
“ใช่จ้ะ” มินโฮตบโต๊ะเสียงดัง ทำเอาพ่อยอดชายทั้งสองสะดุ้งโหยงรีบตอบเหมือนกับว่าถ้าตอบช้ากว่าแม้แต่เพียงนิดเดียวอาจจะไม่มีชีวิตรอดก็เป็นได้
“^____^ ก็ดีฮะ”
มินโฮส่งยิ้มกว้างมาให้อีกครั้งแต่ซีวอนกับชางมินทำได้แค่ยิ้มเจื่อนส่งกลับไปเท่านั้น
“ถ้าอิ่มกันแล้วพี่ชายกับพี่ชางมินช่วยไปที่ห้องทำงานได้มั้ยฮะ ผมมีเรื่องจะคุยกับพี่สองคนน่ะ”
“..............................”
“ผมถามว่าได้มั้ย!!!”
“ได้จ้ะได้ ไม่มีปัญหาเลยจ้ะ T^T” ทำไมวันนี้มินโฮดุจังฟ่ะ เมื่อคืนยังเป็นแมวน้อยอยู่เลยทำไมเช้ามากลายเป็นแม่เสือไปได้เนี่ย ...นั่นเป็นคำถามที่ชางมินทำได้แค่คิดในใจหากถามออกไป เขาอาจจะไร้หมอนข้างอุ่นๆให้กอดคืนนี้ก็เป็นได้
“ดีฮะ งั้นพี่สองคนก็ไปรอผมที่ห้องทำงานของพี่ชางมินได้เลยเดี๋ยวผมตามไป”
จัดการสั่งพี่กับคนรักเรียบร้อยมินโฮก็รอให้ทั้งสองคนเดินออกไปก่อนจะพูดอะไรบางอย่างกับคุณแม่บ้าน แล้วค่อยเดินตามไป
.
.
.
.
.
ส่วนทางด้านสองหนุ่มหลังจากที่ถูกสั่งให้มารอที่ห้องทำงานระหว่างทางซีวอนเป็นฝ่ายเปิดปากพูดขึ้นก่อน เพราะทนเก็บความสงสัยในตัวน้องชายคนเดียวไว้ไม่ไหว
“ชางมิน แกรู้มั้ยว่ามินโฮจะทำอะไร”ซีวอนขมวดคิ้วทำหน้าสงสัยเต็มที่ ...ก็มันน่าคิดนี่หว่า...ถึงมินโฮจะเอาแต่ใจแค่ไหนแต่ก็ไม่เคยขึ้นเสียงใส่เขาซักครั้ง แต่คราวนี้มาแปลก
“ก็อยู่ด้วยกัน พี่ไม่รู้แล้วผมจะรู้มั้ย” ชางมินตอบคำถามของรุ่นพี่ที่ตอนนี้เปลี่ยนสถานะเป็นพี่ชายของภรรยา(?)ด้วยเสียงเรียบๆแกมประชด...ถามอะไรไม่คิด...
“เฮ้ย!! นี่แกกวนประสาทฉันหรือไง” พอได้ยินคำตอบออกมาจากปากรุ่นน้องทำเอาลมออกหู ถึงจะรู้ว่าเจ้ารุ่นน้องคนนี้ชอบกัดเขาก็เถอะแต่ได้ยินมันพูดทีไรอารมณ์มันปรี๊ดทุกทีสิน่า แต่ชางมินดูจะไม่สนใจอาการโมโหของซีวอนแถมยังพูดจุดอารมณ์คนหวงน้องให้ปรอทแตกขึ้นมาอีกครั้ง
“อืมม ผมว่ามินโฮอาจจะพูดเรื่องเมื่อคืน” เน้นย้ำคำว่า”เมื่อคืน”ให้อีกคนได้คิดตาม พอทิ้งระเบิดไว้แล้วก็เดินหัวเราะอารมณ์ดีไปหน้าตาเฉย ปล่อยให้คนฟังยืนสั่นเป็นเจ้าเข้าเพราะไม่รู้จะทำยังไงกับเจ้ารุ่นน้องคนนี้ดี...แม่งเอ้ย เถียงกับมันทีไรไม่เคยชนะมันซักที เห็นแววว่าจะเสียน้องชายสุดที่รักให้กับชางมินอยู่รำไรพอนึกได้อย่างนั้นก็รีบสาวเท้าตามเจ้าของบ้านไปทันที
“เฮ้ย!! ไอ้ชางมินแกกลับมาพูดให้รู้เรื่องก่อนเซ่”
“พูด?? ผมว่าผมพูดชัดเจนแล้วนะ”
“ชัดเจนสำหรับแกคนเดียวน่ะสิ เมื่อคืนระหว่างแกกับมินโฮไม่ได้มีอะไร”
“ผมคิดอย่างนั้นไม่ได้หรอก ในเมื่อความจริงก็เห็นๆกันอยู่ หึ”
ชางมินตอกย้ำความจริงให้คนหวงน้องได้เจ็บไปถึงกระดูกเล่นเอาซีวอนสะอึก แถมยังยิ้มกวนอวัยวะเบื้องล่างอีก ซีวอนกระชากคอเสื้ออีกฝ่ายเข้ามาก่อนจะเงื้อมือขึ้น อยากต่อยไอ้เด็กปากดีเสียหน่อย แต่ก็ได้แค่คิดเพราะยังไม่ทันได้ทำอะไรกรรมการห้ามมวยก็เดินเข้ามาพอดี
“พี่!! จะทำอะไรน่ะ” มินโฮที่เห็นพี่ชายกำลังจะชกชางมินร้องขึ้นเสียงดัง ซีวอนรีบปล่อยมือจากเสื้อของชางมินทันทีแล้วยังจัดเสื้อที่มันยับให้เข้าที่อีกต่างหาก
“ปะ เปล่าจ้ะ เราแค่เล่นกันเฉยๆ เนอะชางมินเนอะ”หลักฐานคาตาแต่ก็ยังปฏิเสธ แล้วกอดคอรุ่นน้องคนสนิทบอกมินโฮเป็นนัยๆว่า..เราไม่ได้ทะเลาะกันเล้ย มินโฮมองหน้าพี่ชายอย่างไม่เชื่อคำพูดที่ได้ยิน ก็อยากจะเชื่ออยู่หรอกแต่ขนาดเขาอยู่ด้วยยังกัดกันได้ตลอด เฮ้อ...ที่คิดว่าจะขังไว้ในห้องให้ได้คุยกันไม่ฆ่ากันตายเลยหรือไงนะ
“แล้วมินโฮมีเรื่องอะไรจะคุยกับพี่หรือ?” ซีวอนเห็นน้องชายมองตัวเองด้วยสายตาไม่เชื่อในคำแก้ตัวจึงรีบเลี่ยงไปเรื่องอื่นแทน
“อ๋อ..คือผมแค่อยากให้พี่สองคนคุยกัน”
“คุย?? พี่กับไอ้ชางมินเนี่ยนะ” ซีวอนเอานิ้วจิ้มที่หน้าอกตัวเองแล้วชี้ไปที่ร่างสูงอีกคนเพื่อเป็นการยืนยันว่าตัวเองนั้นเข้าใจได้ถูกต้อง
“ใช่ฮะ ผมอยากให้พี่สองคนคุยกันดีๆ แล้วก็เลิกทะเลาะกันเสียที”
“แต่พี่ไม่...”
“ไม่อะไรฮะ พี่จะบอกว่าไม่ได้ทะเลาะกันงั้นหรอ แล้วตั้งแต่เช้าจนมาถึงตอนนี้มันคืออะไร” มินโฮไม่ปล่อยโอกาสให้ซีวอนได้ทักท้วงอะไร ภาพที่คุณหนูมินโฮยืนบ่นหรือจะเรียกว่าสั่งสอนดี ให้พี่ชายกับคุณชายของบ้านทำเอาบรรดาคนรับใช้ที่อยู่แถวนั้นอดยิ้มปนขำไม่ได้ เพราะอย่างที่รู้ๆกันดีว่าคุณซีวอนไม่ชอบให้ใครขัดใจ และคุณชายชางมินเองก็ไม่เคยทำอะไรผิดพลาดถึงกับต้องมีคนมาบ่นให้ขนาดนี้ ดังนั้นการได้เห็นทั้งสองคนหน้าจ๋อยสนิทพูดไม่ได้ทำอะไรก็ไม่ได้ คงเป็นภาพที่หาดูได้ยากที่สุด อย่างนั้นแล้วก็ขอดูให้เต็มตาจะเป็นไร ในขณะที่เกิดเหตุการณ์คนใช้มุง คนเป็นเจ้านายและรุ่นพี่คนสนิททำได้ตอนนี้คงจะเป็น”ฟัง”กับ”เชื่อฟัง”กระมัง ไม่อย่างนั้นคงได้ง้อคุณหนูมินโฮกันอีกยาว
“คุยกันให้รู้เรื่องซะนะฮะ ^___^”
“ครับ/ครับ” สองเสียงตอบรับแข็งขันประดุจว่าตัวเองเป็นทหารแล้วได้รับคำสั่งจากเจ้านายก็มิปาน
“แล้วห้ามพี่สองคนออกจากห้องจนกว่าผมจะมาเปิด อ่อ..แล้วก็ห้ามหนีเด็ดขาด...ไม่งั้นตาย” เน้นหนักๆคำสุดท้าย ทำเอาคนฟังเสียวสันหลัง
“อย่าทำให้ผมผิดหวังนะฮะ ^ ^”
พูดกดดันจบแถมฉีกยิ้มน่ารักตบท้ายไปอีกรอบก่อนจะปิดประตูห้องพร้อมล็อกกุญแจเรียบร้อย แว่วเสียงร้องเบาๆดังลอดออกมา แต่กลับไม่ได้อยู่ในความสนใจของมินโฮแม้แต่น้อย ถึงจะรู้ว่าเจ้าเสียงนั้นเป็นพี่ชายคนเดียวของตัวเองก็ตาม
“ป้าจีอิน ห้ามเปิดประตูนะฮะ ขอผมอยู่สงบๆซักครึ่งวันก็ยังดี”
“ค่ะ คุณหนู” สั่งแม่บ้านพร้อมกับฝากกุญแจเรียบร้อยก็เดินขึ้นชั้นบนทันที...ไปนอนเอาแรงดีกว่าเปลืองพลังงานกับพี่ซีวอนพี่ชางมินไปเยอะ หวังว่าคงไม่กัดกันตายซะก่อนนะ
.
.
.
.
ย้อนมา ณ ห้องทำงานของชางมินที่ที่สองหนุ่มถูกขังเอาไว้(เวอร์ซะ)
“มินโฮฮฮฮฮฮฮ” เสียงร้องโหยหวน(?)ยังดังอยู่หลังจากที่ประตูปิดลง คุณชายซีวอนผู้เนี้ยบทุกกระเบียดนิ้วยืนเกาะประตูบานเดิมพร้อมร้องเรียกชื่อน้องชายอยู่ไม่ขาดปาก เรียกสายตาระอาใจจากคนอายุน้อยกว่าได้เป็นอย่างดี...อายุก็ไม่ใช่จะน้อยๆแล้ว เฮ้ออ ก็ทำไปได้นะคนเรา...ชางมินได้แต่คิดอยู่ในใจ ก่อนจะส่ายหน้าบอกให้รู้ว่ารับไม่ได้อย่างแรงแล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงาน หยิบเอกสารนู่นนี่ขึ้นมาดูระหว่างรอให้ใครอีกคนที่ยังบ้าไม่เลิกได้เลิกทำอะไรเป็นเด็กๆแล้วกลับมาคุยกับเขาให้มันจบๆไป แต่เวลาผ่านไปนานหลายนาทีแล้วอีกคนกลับไม่มีวี่แววว่าจะเลิกทำท่าอุบาทว์ๆนั่นเสียที จนเขาเริ่มจะทนไม่ไหว
“พี่จะทำอย่างนั้นอีกนานมั้ย ถ้าไม่ก็หันมาคุยกัน แต่ถ้าทำต่อไปผมจะได้ทำอย่างอื่นที่มันดีกว่าการมานั่งมองพี่ทำอะไรบ้าๆอย่างนี้” หลังจากคาดการณ์ดูแล้วว่าซีวอนคงจะไม่หยุดง่ายๆจึงได้เอ่ยปากถามออกไป เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรถึงทำแบบนี้และเขาเองก็ไม่ได้อยากรู้ด้วย สิ่งเดียวในตอนนี้ที่อยากจะทำคือการคุยกับซีวอนเรื่องของมินโฮให้เรียบร้อย เขารู้ว่าที่เขาทำกับมินโฮมันผิดต่อซีวอนที่ไว้ใจฝากน้องชายคนเดียวให้เขาดูแล แต่เขาก็หวังว่าซีวอนจะเข้าใจ...
“แล้วใครใช้ให้แกมองเล่า”ไม่ใช่แค่พูดอย่างเดียวยังแถมค้อนงามๆถวายไปอีกดอก...ถ้าคนทำเป็นมินโฮก็ว่าไปอย่าง แต่...คนที่ทำเป็นซีวอน เขาบอกได้คำเดียวว่ามันอุบาทว์มาก
“เฮ้ออ ช่างเถอะ ว่าแต่พี่จะหันหน้ามาคุยกับผมได้หรือยัง”ชางมินถอนหายใจอย่างหนักอกพร้อมกันส่ายหน้าเอือมระอากับรุ่นพี่คนนี้เหลือเกิน ชอบทำอะไรไม่เข้ากับตัวแล้วยังไม่เข้ากับอายุตัวเองอีกต่างหาก
“แล้วแกจะคุยเรื่องอะไรล่ะชางมิน”คิดจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนทำเอาอีกคนตามอารมณ์แทบไม่ทัน เงยหน้าขึ้นมามองซีวอนนึกแปลกใจที่จู่ก็ทำสีหน้าจริงจังขึ้นมา แต่อย่างนั้นก็ยังตีหน้านิ่งได้เป็นอย่างดี
“ผมว่าพี่รู้ดีอยู่แล้วนะ”คำพูดสั้นๆแต่กลับทำให้บรรยากาศในห้องอึดอัดขึ้นมาได้ทันตา ก่อนที่ซีวอนจะเป็นพูดขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ
“ก็ดี คุยกันให้จบๆไป”
“....................”ชางมินยังคงเงียบรอฟังสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังเอ่ยออกมา เขาเองก็อยากรู้ว่าซีวอนจะทำยังไงกับเรื่องนี้ ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าซีวอนไม่ทางปล่อยให้เรื่องมันผ่านไปง่ายๆอย่างแน่นอน แต่สิ่งที่เขาไม่อยากคาดเดาคือวิธีการของอีกฝ่ายต่างหาก
“ฉันจะพามินโฮไปฝรั่งเศสด้วย”
“ไม่ได้!!”ทันทีที่ได้ยินคำตอบชางมินก็ปฏิเสธเสียงดัง..ใครยอมก็บ้าแล้ว
“ทำไมจะไม่ได้ก็ในเมื่อฉันเป็นพี่”
นั่นสินะ…แต่อย่างไรเขาก็ไม่ยอม
“ที่มีสิทธิ์ตัดสินใจทุกอย่างแทนมินโฮ…”
มันก็ใช่...แต่เขาไม่มีทางยอมแน่
“แล้วแกล่ะชางมิน....เป็นใคร หึ”
เพราะว่า...เขาก็ยังมีสิทธิ์อย่างหนึ่ง....สิทธิ์...ที่มีไว้สำหรับเขาคนเดียว
“ผมเป็นคนที่มินโฮรัก แล้วก็เป็นคนที่รักมินโฮ”
“.....................”
“มันเป็นสิทธิ์ที่มีค่าพอหรือเปล่า”
“.....................”
ชางมินมองหน้าอีกฝ่ายคาดคั้นเอาคำตอบ แต่ซีวอนนอกจากไม่ตอบแล้วยังเบือนหน้าหนีหลบสายตาที่คล้ายจะร้องขอความเห็นใจจากเขาไปเสีย…ได้แต่คิดในใจว่า...ไม่ได้ ยังใจอ่อนตอนนี้ไม่ได้
“ผมถามว่าได้หรือเปล่า!!”
“ไม่!! มันเร็วไป”
“อะไรคือเร็วไป”
“ความรัก...สำหรับมินโฮมันเร็วไป”
“พี่แน่ใจหรือว่ามันเร็วเกินไปสำหรับมินโฮ...ไม่ใช่พี่ตัวเอง!!”
“ใช่!!ฉันไม่เถียง แต่ไม่ว่าจะกับฉันหรือมินโฮมันก็เร็วไปทั้งนั้น”เหมือนจะถูกพูดแทงใจดำและทั้งยังถูกอีกฝ่ายมองออกจึงได้ยอมรับออกมาตรงๆ...เพราะชางมินรู้อยู่แก่ใจดีว่าเขาทั้งรักและหวงน้องชายคนเดียวมากขนาดไหน ไม่แปลกที่คนที่รู้จักกันนานอย่างชางมินจะมองเขาเรื่องของมินโฮได้ทะลุปรุโปร่ง...ปฏิเสธไปก็ไร้ประโยชน์สู้ยอมรับไปเสีย แล้วค้านกันด้วยเหตุผลจะดีกว่า
“มินโฮอายุแค่สิบเจ็ด ยังมีเวลาและโอกาสที่จะเจอใครอีกหลายๆคน...คนที่ใช่สำหรับแกอาจจะใม่ใช่เขาและคนที่ใช่สำหรับเขาอาจจะไม่ใช่แกก็ได้” ชางมินหลับตาสูดลมหายใจเข้าเพื่อระงับอารมณ์โกรธ เขาเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายรักน้องชายมากแค่ไหน แต่ซีวอนกำลังดูถูกความรักและความจริงใจของเขาอยู่...ที่ผ่านมามันไม่ได้พิสูจน์อะไรให้คนๆนี้เห็นเลยหรืออย่างไรกัน
“พี่พูดบ้าอะไรของพี่กัน!!” ชางมินไม่อยากจะเชื่อว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรแบบนี้ออกมา ทั้งๆที่ผ่านมาซีวอนรู้ดีที่สุด แต่ทำไม....
“ฉันก็แค่พูดในสิ่งที่ฉันคิดและรู้สึก มันยังเร็วเกินไปที่บอกว่าความรู้สึกที่มินโฮมีให้แกเป็นความรัก เพราะมินโฮเจอแค่แก อยู่แต่กับแก ลองปล่อยให้เขาไปเจอคนอื่นบ้าง พิสูจน์สิ...ชางมิน ให้เวลาเป็นเครื่องตัดสินว่านั่นเป็นความรักจริงๆ” ดูเหมือนสิ่งที่ซีวอนพูดออกมาจะทำให้ชางมินได้คิดอยู่ชั่วขณะ และทำให้คนเป็นพี่ยิ้มมุมปากเมื่อเห็นอีกคนคิดตาม การรั้งน้องชายให้ออกห่างจากชางมินอีกครั้งคงสำเร็จ แต่แล้วยิ้มน้อยๆนั้นกลับต้องหุบลงเพราะเสียงเบาๆที่ลอดออกมาจากปากของอีกฝ่าย
“แค่...นาทีเดียว”
“......................”
“แค่นาทีเดียว...เขาก็รักผมได้ เหมือนกับที่ผมรักเขานั่นแหละ”
“!!!”
“พี่ก็เอาแต่คิด เรียกร้องแต่สิ่งที่พี่ต้องการ แล้วพี่เคยคิดที่จะถามคนอื่นบ้างหรือเปล่าว่าเขาต้องการอะไร”คำถามที่เหมือนจะโดนใจคุณพี่ชายเข้าไปเต็มๆ ทำเอาซีวอนสะอึกพูดไม่ออก แต่ก็ยังดึงดันต่อไปไม่ยอมแพ้กันง่ายๆ
“ฉันก็แค่อยากให้มินโฮได้สิ่งที่ดีที่สุดก็เท่านั้น”
“พี่ก็เลยเอาตรงนี้มาอ้างอย่างนั้นหรือ พี่จะมั่นใจได้ยังไงว่าสิ่งที่จะให้มินโฮมันเป็นที่ดีที่สุดแล้ว”
“มันต้องดีอยู่แล้วชิมชางมิน เพราะมันเป็นสิ่งที่ฉันเลือกให้”
“พี่มันเห็นแก่ตัว”
“ไม่ว่าใครก็เห็นแก่ตัวทั้งนั้นแหละชางมิน แม้แต่ตอนนี้นายเองก็ยังทำมันอยู่ หึ” นอกจากจะไม่เป็นเดือดเป็นร้อนกับคำกล่าวหาของอีกฝ่าย แต่กลับตอกกลับได้อย่างเจ็บแสบ
ใช่...อย่างที่ซีวอนพูดใครๆก็เห็นแก่ตัวทั้งนั้น ไม่เว้นแม้แต่ตัวเขาเอง ....จะทำอย่างไรดี ถ้าหากต้องห่างกับมินโฮอีกครั้ง คิดไม่ออกจริงๆว่าจะทำอย่างไรต่อไป ไหนใครๆก็บอกว่าชิมชางมินเก่ง...ไม่หรอก ชิมชางมินไม่ได้เก่งกาจอะไรเลย...เพราะแค่คนที่ตัวเองรักยังไม่รู้ว่าจะรักษาไว้กับตัวเองยังไง
“ไม่นานหรอกชางมิน ฉันสัญญาว่าจะคืนมินโฮให้กับนาย” เมื่อความเงียบความปกคลุมจนน่าอึดอัด ซีวอนจึงพูดแทรกขึ้น เพราะชางมินที่ทำหน้าคิดไม่ตก เขาควรจะฉวยโอกาสนี้เอาไว้ ต้อนให้ชางมินคิดไม่ออกและสุดท้ายคนที่จะชนะก็เป็นเขา...แน่นอน
“สัญญา?? พี่ยังกล้าพูดคำนี้กับผมอีกงั้นหรือ ครั้งนั้นพี่ก็สัญญา แล้วพี่ก็ผิดสัญญา!!”
“ครั้งสุดท้ายจริงๆชางมิน” ซีวอนยังยืนคำเดิมหนักแน่น เพราะไม่ว่ายังไงท้ายที่สุดแล้วชางมินจะยอมอยู่ดี
“คราวนี้จะอีกกี่ปีล่ะ หนึ่งปี ห้าปี หรือว่าตลอดไป??” คำถามกึ่งประชดถูกส่งออกมาให้กับคนที่ผิดสัญญาได้สะอึกเล่น จนซีวอนต้องรีบออกปากอธิบาย
“ไม่หรอก มันจะไม่นานขนาดนั้น ...นาย...เชื่อฉันสิ” ซีวอนจ้องตากับชางมินอย่างขอร้อง จนชางมินยังนึกแปลกใจว่าเหตุใดคุณที่ชายถึงต้องมาดึงดันทวงน้องชายคืนเอาตอนนี้ ถึงปกติจะเป็นคนที่ทั้งรักและหวงน้องชายอยู่เป็นทุนเดิมแต่ครั้งนี้ก็ออกจะแปลกเกินไปเสียหน่อย ถึงขนาดทะเลาะกับเขาเสียเป็นเรื่องราว ถ้าจะบอกว่าเป็นเพราะเรื่องเมื่อคืน แต่ซีวอนก็น่าจะรู้ดีที่สุดอยู่แล้ว ว่าอย่างไรเขาก็ไม่มีทางเลิกรักมินโฮ แล้วเพราะอะไรกันที่ทำให้ซีวอนทำอย่างนี้ อยากรู้จริงๆว่าเจ้ารุ่นพี่คิดอะไรอยู่ ถ้าอย่างนั้นคงต้องปล่อยก่อนสินะ แล้วเดี๋ยวค่อยไปทวงมินโฮคืน เพราะเขาเองถ้าต้องอยู่ห่างมินโฮนานๆได้ขาดใจตายก่อนแน่ สุดท้ายก็เป็นชางมินที่ต้องถอนหายใจออกเฮือกใหญ่....นี่เขาต้องยอมให้ไอ้รุ่นพี่คนนี้อีกแล้วหรือ…เฮ้ออ
“ก็ได้” คำตอบสั้นๆ แต่ทำให้คนที่รอคำตอบนั้นดีใจจนเก็บอาการเอาไว้ไม่อยู่ กระโดดโลดเต้น ยิ่งกว่าถูกหวยเสียอีก
“จริงหรือ!! ขอบใจนายมากชางมิน” แค่พูดไม่พอแถมยังดึงเขาเข้ามากอดรัดฟัดเหวี่ยง เหมือนกับก่อนหน้าเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านไม่ได้ทะเลาะกันอย่างไรอย่างนั้น ทำเอาคนถูกกอดรู้สึกขนลุกขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ จนต้องรีบสลัดตัวออกอย่างด่วน
“พี่จะดีใจอะไรนักหนา แค่พามินโฮกลับไปอยู่ผรั่งเศสด้วยเนี่ย??” ชางมินมองซีวอนอย่างจับผิด และคนถูกถามก็ทำท่าอึกอัก ก่อนจะส่งคำตอบที่คิดว่าดีที่สุดแล้วกลับไป
“กะ...ก็..ฉันได้มินโฮกลับไปอยู่ด้วย ไม่ได้เจอมินโฮมาตั้งปี จะได้อยู่ด้วยกันอีกแล้ว เย้...ดีใจริงๆ ฮ่าๆๆ งั้นฉันไปช่วยมินโฮเก็บของก่อนนะ พรุ่งนี้จะได้ขึ้นเครื่องแต่เช้า”
เพราะชางมินมั่วแต่อึ้งกับคำว่าพรุ่งนี้แต่เช้าอยู่ หันกลับไปเพื่อจะท้วงเรื่องเวลาที่กระชันชิดเกินไป แต่ก็ไม่ทันแล้ว เมื่อซีวอนได้ตะโกนบอกคุณแม่บ้านที่รออยู่ด้านนั้นให้เปิดประตู ออกไปจากห้องเรียบร้อยแล้ว
.
.
.
.
.
ซีวอนปาดเหงื่อพร้อมถอนหายใจอย่างโล่งอก หลังจากที่ออกมาจากห้องทำงานด้วยความเร็วเหนือแสง เพราะกลัวเจ้ารุ่นน้องที่มันสมองเป็นเลิศฉุกคิดและติดใจในตัวเขาขึ้นมา แล้วถ้าหากเขาโดนซักไซ้ไล่เรียงมากๆเข้าอาจจะหลุดอะไรออกไป แผนที่อุตส่าห์วางไว้ได้พังหมดแน่ ตัวเขาเองไม่ได้คิดจะจับมินโฮกับชางมินแยกกันเป็นจริงเป็นจังอะไร ก็แค่แกล้งทำเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการเท่านั้น ก็อย่างที่ชางมินพูดนั้นแหละ
เขามันเห็นแก่ตัว...ถึงขนาดทำลายความสุขของน้องชายคนเดียวได้ลงคอ
แต่แหม...เขาก็ไม่ได้เป็นพี่ใจร้ายขนาดนั้น บอกว่าจะคืนให้ก็คือจะให้จริงๆ แต่ที่บอกว่าไม่นาน...อันนี้มันก็อยู่ที่ความสามารถของนายแล้วล่ะ...ชางมิน ว่าจะทำให้ฉันสมหวังได้เร็วขนาดไหน
ที่รัก...ผมขอโทษนะที่ต้องใช้วิธีนี้...มันไม่ใช่ความผิดของผมเสียหน่อย....ก็ขอดีๆแล้วที่รักไม่ยอมเองนะ
ก็ต้องบังคับแบบนี้แหละ...
“ฉันขอโทษนะชางมิน แต่...ก็ถือว่าช่วยฉันเพื่อแลกกับมินโฮก็แล้วกัน” หันกลับไปพูดเบาๆกับประตูบานเดิมที่เพิ่งออกมา ก่อนจะเดินขึ้นชั้นบนเพื่อไปเก็บของให้น้องชายที่จะต้องกลับไปฝรั่งเศสกับเขาในวันพรุ่งนี้
.
.
.
.
.
แปลก....เป็นคำคำเดียวที่เขารู้สึกในตอนนี้ ซีวอนมาแปลก เขารู้สึกตะหงิดๆเหมือนจะมีเรื่องให้ปวดหัวต่อ เฮ้ออ...ถ้าอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับซีวอน มีคนคนเดียวที่จะตอบเขาได้ทุกคำถาม และตอนนี้คนคนนั้นก็เป็นที่พึ่งหนึ่งเดียวที่จะช่วยเค้าได้
....คิมฮีชอล....
ไว้เท่าความคิด ชางมินเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ก่อนจะกดโทรออกไปหาพี่ชายคนโตของตัวเอง ที่ตอนนี้คงกำลังแฮปปี้กับชีวิตสุดๆอยู่ที่อังกฤษ ไม่รู้ว่าป่านนี้จะรู้หรือยังว่าแฟนตัวเองหนีกลับเกาหลีมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว
ถือสายรอไม่นานก็มีคนรับ เสียงจากปลายสายฟังดูลัลล้าสุดๆ ....อะไรมันจะความสุขขนาดนั้น คิมฮีชอล
“ดีจ้า น้องรัก คิดไงโทรมาหาพี่คนนี้ได้ล่ะเนี่ย” คำถามประชดถูกส่งออกมาทันทีที่รับสาย เรียกรอยยิ้มน้อยๆจากชางมินได้เป็นอย่างดี
“ผมก็คิดถึงพี่ไง” พูดคำหวานหูให้ได้ยิน ทำเอาคนที่ถือหูอยู่คนละซีกโลกหัวเราะลั่น....
“ไม่ต้องมาพูดหวานๆให้พี่ดีใจเล่นหรอก มีอะไรก็พูดมาเลยดีกว่า” ชางมินหัวเราะน้อยๆ ดูพี่ชายจะรู้ทันเขาไปเสียหมด ดังนั้นแล้วก็คงไม่ต้องอ้อมค้อมแล้วมั้ง
“พี่ซีวอนกลับมาเกาหลี พี่รู้หรือเปล่า”
“กลับเกาหลี?? เมื่อไหร่??”ขมวดฉับทันทีที่ได้ยินคำบอกเล่ากึ่งคำถาม ก่อนจะถามกลับบอกให้ชางมินรู้ว่าสิ่งที่คาดไว้เริ่มเห็นเค้าความจริงขึ้นมาเสียแล้ว
“เมื่อคืน...”
“...........”เสียงจากปลายสายที่เงียบไปเหมือนกำลังครุ่นคิด ทำให้ชางมินนึกเอะใจ หรือจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างฮีชอลกับซีวอน แค่ลำพังซีวอนมาทำตัวแปลกๆแล้ว อาการที่ฮีชอลไม่รู้ว่าคนรักแอบหนีกลับเกาหลีแต่ไม่บ่นหรือโวยวายอะไรออกมานั้น....ก็ถือว่าแปลกยิ่งกว่า เพราะไม่ว่าซีวอนจะอยู่ที่ไหนหรือทำอะไรอยู่ คิมฮีชอลจะต้องรู้ทุกอย่าง แต่ตอนนี้ฮีชอลกลับไม่รู้อะไรเลย
“พี่กับพี่ซีวอนมีเรื่องอะไรกันหรือเปล่าครับ”
“ก็...จะว่าไปมันก็มีอยู่...นิดหน่อย”ตอบเสียงอ้อมแอ้มกลับมา ชางมินไม่ค่อยเชื่อกับคำว่านิดหน่อยเสียทีเดียว ตาคมหรี่ลงคล้ายจับผิดคนโกหกทั้งๆที่อีกฝ่ายไม่ได้นั่งอยู่ตรงนั้นก็ตาม
“พี่แน่ใจนะว่านิดหน่อย”
“อื้ม”
“ก็แล้วไป แต่ถ้าพี่มีเรื่องไม่สบายใจต้องบอกผมทันทีนะครับ ผมเป็นห่วงพี่นะ”น้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยถูกส่งให้กับคนปลายสายได้ยิ้ม ชางมินจะเป็นแบบนี้เสมอ แม้ไม่ค่อยพูดแต่ก็ใส่ใจอยู่เสมอ ถึงจะไม่ค่อยได้เจอกันอย่างที่พี่น้องควรเป็น แต่ความห่วงใยก็มีให้กันอยู่ไม่ขาด
“โอเค พี่จะรีบรายงานเราคนแรกเลยดีมั้ย”
สองพี่น้องคุยกันอีกไม่กี่คำก็วางสาย การโทรหาฮีชอลแม้จะไม่ได้ช่วยอะไรมากมาย แต่อย่างน้อยได้รู้ว่าที่
ซีวอนทำตัวแปลกๆปัญหามาจากฮีชอลไม่ผิดแน่....เฮ้ออ...รักกันมาได้ตั้งนานหลายปี ทำไมมาโกรธกันเอาตอนใกล้จะแก่น้า.... ชางมินนั่งคิดอะไรไปเรื่อยๆก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นอีกครั้ง เพื่อโทรออกไปหาคนที่สะสางปัญหาให้เขาได้เป็นอย่างดี
“คยูฮยอนช่วยอะไรฉันหน่อย”
.
.
.
.
.
ซีวอนค่อยๆเปิดประตูห้องของมินโฮให้เบามือที่สุด แล้วปิดลงก่อนจะเดินไปนั่งลงบนเตียงข้างๆคนที่ยังหลับอุตุอยู่บนที่นอนนุ่มๆ ซีวอนวางมือหนาลงบนกลุ่มผมนุ่มลื่นมือ ลูบผมน้องชายเบา รอยยิ้มอ่อนโยนระคนเอ็นดูถูกส่งให้คนที่ยังหลับใหล
“มินโฮ...พี่ขอโทษ” เมื่อใดก็ตามที่ตาคู่สวยนั้นลืมขึ้นมารับรู้ว่าจะต้องไปจากเกาหลี ไปจากพี่ชางมิน ตาคู่เดียวกันนี้คงจะเต็มหยาดน้ำตาเป็นแน่ ซีวอนจึงเลือกที่จะพูดคำว่าขอโทษกับน้องชาย เพราะสำหรับเขาไม่มีคำไหนเหมาะเท่าคำๆนี้แล้ว
“อื้อ ~” ร่างที่นอนอยู่บนเตียงเริ่มขยับน้อยๆ ส่งเสียงงึมงำในลำคออย่างรำคาญเพราะถูกกวนเวลาที่แสนสุข ก่อนเปลือกตาบางจะค่อยๆลืมขึ้น กระพริบอยู่สองสามครั้งเพื่อปรับแสง อาการงัวเงียของคนเพิ่งตื่นน่าเอ็นดูจนคนที่นั่งอยู่นานอดขำออกมาเบาๆไม่ได้
“ตื่นซักทีเด็กขี้เซา”
“งื้ออ พี่ชาย ~ พี่ชางมินล่ะฮะ” รอยยิ้มที่มีในตอนแรกหุบฉับทันทีที่ชื่อใครอีกคนหลุดออกมาจากปากของมินโฮ ซีวอนชักจะเหม็นขี้หน้าชางมินขึ้นมา แถมยังแอบเคืองน้องชายตัวเองที่ตื่นมาคนแรกที่ถามหาดันเป็นคนอื่นทั้งๆที่พี่ชายของตัวเองนั่งอยู่ตรงนี้แท้ๆ
“นี่...เกินไปแล้วชเวมินโฮ! พี่อยู่นี่ยังถามถึงคนอื่นอยู่ได้ เฮ๊อะ!!” พูดขึ้นเสียงเหมือนน้อยใจเต็มทีที่น้องชายดูไม่ให้ความสำคัญกับตัวเองเท่าที่ควร
เชอะ...ทั้งๆที่เมื่อก่อนอะไรก็พี่ชายๆ แต่ตอนนี้ทำไมมันมีแต่ชางมินๆล่ะ คิดแล้วเศร้าว้อย!! T^T
“ก็พี่ชายอยู่ตรงนี้แล้ว ผมจะถามหาทำไมล่ะ ผมก็ต้องถามหาคนที่ไม่อยู่สิ” มินโฮทำหน้างงได้อย่างน่ารัก แถมคำอธิบายก็ทำเอาคุณพี่ชายเอ๋อกิน....เอออนั่นดิ่....ไม่อยู่ถึงได้ถามหา....โง่อีกแล้วซีวอนเอ้ยย
“แล้วพี่ชายกับพี่ชางมินคุยกันเรียบร้อยแล้วหรือฮะ ถึงได้ออกมาเนี่ย” มินโฮหรี่ตาลงคล้ายจับผิด
“แน่น๊อน พี่ก็บอกเราแล้วว่าพี่กับชางมินไม่ได้ทะเลาะกันซักหน่อย ไม่มีเรื่องจะต้องคุยกันหรอก”
มือหนาวางแหมะลงบนหัวกลมพร้อมทั้งยีผมที่มันยุ่งอยู่แล้วให้ยุ่งเหยิงมากยิ่งขึ้น มินโฮได้แต่ปัดมือพี่ชายออกจากหัวของตัวเอง เสียงหัวของสองพี่น้องดังก้องห้องนอนใหญ่ เสียงที่เต็มไปด้วยความสุข....ที่ไม่รู้ว่าหลังจากที่รับรู้ความจริงต่อจากนี้ เสียงหัวเราะจะกลายเป็นเสียงร้องไห้
“หยุดเดี๋ยวเลยพี่ชาย!!”มินโฮตะโกนสั่งพี่ชายเสียงดัง เพราะคนตัวโตไม่ยอมหยุดแกล้งเสียที เขาเหนื่อยแล้วนะ
“โอเคๆ หยุดแล้วๆ ฮ่าๆ” ซีวอนหัวเราะร่วนที่ได้แกล้งน้อง ก่อนจะหยุดมือลง สิ้นเสียงหัวเราะ...รอยยิ้มยังคงอยู่ รอยยิ้มที่ซีวอนคิดอยู่เสมอว่าเป็นรอยยิ้มที่มีค่า แต่เขาก็ยังเลือกที่จะทำลายมันลง
“มินโฮ”ซีวอนเรียกให้น้องชายหันมอง มินโฮละมือจากการลูบผมที่กระเซิงให้เข้าที่หันกลับมามองพี่ชาย
“ฮะ?”
“พรุ่งนี้เช้า....พี่จะพาเรากลับฝรั่งเศสด้วย”
.
.
.
“ไปฝรั่งเศส?? อย่ามาล้อเล่นนะฮะ โรงเรียนยังไม่ปิดเทอมเลย ผมจะไปได้ยังไง”
...ใช่...พี่ชายต้องล้อเล่นแน่ๆเลย
...แต่ทำไมพี่ชายถึงไม่หัวเราะล่ะ
“................”
เมื่อความเงียบคือคำตอบแทนคำว่า..ไม่ น้ำตาเม็ดก็ร่วงลงจากดวงตาคู่โตเงียบๆเช่นกัน ไร้เสียงสะอื้น มีแค่แววตาตัดพ้อที่ส่งออกมาให้คนเป็นพี่ได้รู้สึกถึงสิ่งที่ตัวเองตัดสินใจ...ไม่มีแม้คำขอโทษหรือเหตุผลให้อีกฝ่ายได้รับรู้ ซีวอนเลือกที่จะเงียบ...เพื่อที่จะคิด..ว่า..
เขาควรจะเดินหน้า...เล่นเกมเห็นแก่ตัวต่อไป
หรือหันหลังกลับ...เพื่อลบหยาดน้ำตาของน้องชาย
ซีวอนได้แต่คิดและมองดูมินโฮร้องไห้เงียบๆ มินโฮก้มหน้าจนคางเกือบติดหน้าอกซ่อนร่องรอยของความเสียใจที่จะต้องไปจากคนที่รัก มีแค่หยดน้ำตาที่หล่นลงให้คนเป็นพี่ได้รับรู้ถึงความเจ็บปวดครั้งนี้ แต่อยู่ดีๆคนที่เอาแต่ร้องไห้กลับลุกพรวดพลาดขึ้น ไม่แม้แต่จะพูดอะไรกับคนที่นั่งอยู่สักคำก่อนจะวิ่งออกจากห้องไป ซีวอนตกใจกับอาการของมินโฮแต่มันก็แค่เล็กน้อยเท่านั้น ทำได้แค่มองตามหลังน้องชายไปเท่านั้น....เขารู้ดีว่าเวลานี้น้องชายจะไปที่ไหน
มาถึงตอนนี้..แม้จะรักและสงสารน้อง แต่ซีวอนก็ยังเลือกที่จะให้มันเป็นไป
พี่ขอโทษมินโฮ...
.
.
.
.
.
ปังงงงงงง
เสียงเปิดประตูดังลั่นเรียกให้เจ้าของห้องหันกลับมามอง ยังไม่ทันจะได้ตั้งตัวใครอีกก็โถมตัวเข้ากอด ทำเอาคนโดนกอดถึงกับเซน้อยๆบวกงงเล็กๆ แต่วงแขนสองข้างกลับเร็วกว่าสมองสั่ง...ยกขึ้นกอดตอบ และยิ่งรับรู้ถึงแรงสั่นของไหล่บาง อ้อมแขนยิ่งกระชับกอดร่างบางให้แน่นขึ้น
“ร้องไห้ทำไม หื้ม..คนเก่ง?” ถามทั้งๆที่รู้ ถึงสาเหตุของการร้องไห้ครั้งนี้ แต่ก็ยังถามออกไป...ก็แค่อยากจะแน่ใจว่าตัวเองสำคัญพอที่อีกฝ่ายจะเสียใจยามที่จะต้องจากกันหรือเปล่า
“ฮึกก..มะ..ไม่ไป..ฮึก..ได้มั้ย”
“.................”
“มะ..มินโฮไม่อยากไป ฮืออ” เสียงสะอื้นดังก้องห้องทำงานใหญ่ บ่งบอกอารมณ์ของเจ้าของน้ำตานั้นได้ดี แม้คนได้ยินได้เห็นยังรู้สึกทรมานไม่ต่าง....ไม่ต่างกันเลย....เจ็บ...จนจะหายใจไม่ออกอยู่แล้ว
สองมือหนารั้งร่างคนที่กอดตัวเองแน่นออกเล็กน้อย ก่อนจะใช้มือทั้งสองโอบประคองแก้มนุ่มให้เงยหน้าขึ้นสบตา นิ้วหัวมือทั้งสองค่อยๆเกลี่ยเช็ดน้ำตาให้ออกจากใบหน้าอย่างอ่อนโยนราวกับกลัวว่ามันจะรอยถ้าเพียงแต่ทำแรงเกินไป ปากหยักยิ้มน้อยๆให้กับคนตรงหน้าแล้วกดจูบลงบนหน้าผากมน...ทั้งนุ่มนวลและอ่อนโยน...
“...พี่ก็ไม่อยากให้มินโฮไป...ไม่อยากเลยสักนิด...คนดี..”
“แล้ว..ทำไมถึงปล่อยให้พี่ชายพามินโฮกลับล่ะ..ทะ..ที่บอกไม่อยากให้ไป..โก..ฮึก..หก..โกหกใช่มั้ยล่ะ!! ที่จริงก็อยากให้มินโฮไป เบื่อที่จะดูแลเด็กดื้อๆแล้วใช่มั้ย!!”
“ไม่ใช่นะมินโฮ!!”เพราะมินโฮทั้งดิ้นทั้งผลักชางมินจึงเพิ่มแรงกอดมากขึ้น กอดให้แน่นเพื่อให้อีกคนได้รู้ว่าเขารักมากเพียงใด
“ไม่ใช่เลย...ไม่ใช่ พี่ซีวอนแค่อยากให้มินโฮไปอยู่ด้วยเพราะคิดถึง มินโฮไม่สงสารพี่ซีวอนหรือ ไปอยู่กับพี่ชายแค่ไม่นานแล้วพี่จะไปรับมินโฮที่ฝรั่งเศสเอง...นะครับ”
“...................”
“ทั้งทำงานหนัก พอคิดถึงก็ต้องบินมาหาน้องชายอีก มินโฮไม่สงสารพี่ซีวอนหรือไง”ชักแม่น้ำทั้งห้ามาโน้มน้าวใจให้อีกคนตกปากรับคำ ถึงแม้ใจจริงจะไม่อยากให้ไปแค่ไหน แต่ต่อให้รั้งมินโฮเอาไว้ได้ ไม่นานซีวอนก็ต้องหาเรื่องมาพามินโฮไปได้อยู่ดี ถ้าอย่างนั้นสู้ปล่อยไปตอนนี้แค่ไม่กี่วันแล้วค่อยรับกลับมาอยู่ด้วยกัน ต่อไปซีวอนจะไร้ข้ออ้างใดๆที่จะมาดึงน้องชายกลับไปอีก เสียเวลาที่จะอยู่ด้วยกันนิดหน่อย แต่เวลาที่เหลือของมินโฮอย่างไรเสียก็ต้องเป็นของชิมชางมินอยู่ดี
เสียงสะอื้นหายไปแล้วมีเพียงแววตาลังเลใจที่ฉายชัดอยู่บนดวงตากลมโต จริงอยู่ที่ชางมินไม่เคยโกหก....แต่จะเชื่อได้แค่ไหนกัน ทั้งๆที่ผ่านมาพี่ชายไม่เคยเรียกร้องให้กลับไปหา และแม้ชางมินจะเอาใจใส่แค่ไหนก็ยังรู้สึกห่างเหิน....แต่คำว่ารักบอกกันกลับหนักแน่นเสียเกิน เขาควรจะเชื่อใจคนที่ตัวเองเลือกที่จะรักสินะ
“สัญญานะฮะ”
“..................”
“สัญญาว่าจะไปรับ ห้ามโกหกกันนะ”
“พี่เคยโกหกมินโฮด้วยหรือไงกัน....เชื่อพี่นะคนดี”
เวลาของการจากลามาเร็วกว่าคิด ร่างสูงยืนมองรถที่แล่นออกจากประตูบ้านบานใหญ่ออกไป จนกระทั่งลับตาจึงหันหลังเดินกลับเข้าสู่ตัวบ้าน ตามติดมาด้วยคุณแม่บ้านที่ไปยืนส่งคุณหนูคนโปรด ร่างท้วมเร่งเท้าตามคุณชายให้ทันก่อนที่ร่างสูงจะเดินเข้าห้องไป แล้วถามคำถามที่ยังคาเธออยู่ตลอดทั้งยังกังวลกับคำตอบที่จะได้รับเสียเหลือเกิน
“คุณชายคะ!”
“ครับ? ป้าอีจิน”ร่างสูงหันมาตามเสียงเรียก
“คือว่า...คุณหนูมินโฮจะกลับมาหรือเปล่าคะ ป้ากลัวว่าคุณหนูจะไม่ได้กลับมาค่ะ”ดูทีว่าคุณแม่บ้านคงจะร้อนใจอยู่ไม่น้อย ถึงได้รีบร้อนมาถามไถ่ทั้งที่มินโฮออกจากบ้านไปไม่ถึงสิบนาทีเสียด้วยซ้ำ
“นั่นสิครับ เอาเป็นว่าป้าช่วยจัดกระเป๋าเดินทางให้ผมทีนะครับ ผมจะไปรับพี่ฮีชอลไปเที่ยวฝรั่งเศสซักสองสามวัน ป้าคิดว่าไงครับ”คำตอบที่ได้เรียกร้อยยิ้มกว้างเต็มใบหน้าอวบ ก่อนจะกระวีกระวาดทำตามคำร้องขอเจ้านาย ท่าทางเช่นทำเอาร่างยกยิ้มขำๆแล้วเดินเข้าห้องทำงานไป
มือหนายกหูโทรศัพท์ขึ้นต่อสายหาคนที่ตัวเองไหว้วานแกมสั่งให้หาข้อมูลบางอย่างให้ เสียงทุ้มพูดคุยอยู่ไม่กี่ประโยคก่อนจะวางสาย แล้วหยิบแฟ้มงานที่วางกองอยู่บนโต๊ะออกจากห้อง มุ่งหน้าสู่บริษัทหลังจากได้รับข่าวดีจากคนสนิท ว่าข้อมูลให้หานั้นครบถ้วนตามที่ต้องการแล้ว และตอนนี้เอกสารเหล่านั้นนอนนิ่งอยู่บนโต๊ะทำงานของเขาอยู่ที่บริษัทรอให้เขาเข้าไปอ่านเรียบร้อยแล้ว
บึ่งรถคู่ใจไม่นานก็ถึงที่หมาย ขายาวก้าวเร็วๆเสียจนแทบจะเป็นวิ่ง แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังไม่ทันใจอยู่ดีเพราะใจมันวิ่งแซงหน้าไปถึงห้องทำงานแล้ว ลิฟท์สำหรับผู้บริหารระดับสูงเคลื่อนสู่ชั้นสูงสุดของตึก ในความเร็วระดับปกติที่เป็นอยู่ทุกวันแต่วันนี้ชิมชางมินกลับคิดว่าน่าจะเพิ่มความเร็วให้ลิฟท์ในบริษัทให้มากขึ้นอีกนิดหรือไม่เขาก็น่าจะย้ายลงไปอยู่ชั้นล่างๆดีกว่า จะได้ไม่ต้องเสียเวลาขึ้นลิฟท์นานๆแบบนี้
เพียงแค่เสียงดัง”ติ๊ง”เป็นสัญญาณว่ามาถึงชั้นที่ต้องการแล้ว ประตูลิฟท์เจ้ากรรมก็เหมือนจะทำให้เจ้าของบริษัทไม่พอใจอีกครั้ง เมื่อประตูนั้นมันช่างเปิดช้าแสนช้าในความคิดของคนรอ ทันทีที่ประตูเปิดออกขายาวก็สาวเท้าสู่ห้องทำงาน ก่อนจะโยนแฟ้มงานที่หอบมาด้วยลงบนโต๊ะของคุณเลขา ไม่แม้แต่จะหยุดทักคุณเลขาหน้าห้องเช่นทุกครั้งตามติดด้วยเสียงปิดประตู
คยูฮยอนได้แต่อ้าปากค้างตามหลังเจ้านาย เขาแค่จะบอกว่าตั๋วเครื่องบินสำหรับไปอังกฤษตอนนี้เตรียมไว้เรียบร้อยเท่านั้น แต่ดูคุณเจ้านายจะใจร้อนไปหน่อย...แต่ช่างเถอะ ก็เข้าใจนะว่าคนมันกำลังมีความรัก...คิดอย่างนั้นแล้วก็ส่ายหัวน้อยๆ แล้วลงมือทำงานต่อ
เอกสารที่มีข้อมูลที่เขาต้องการไม่กี่แผ่นวางอยู่บนโต๊ะอย่างเป็นระเบียบ ชางมินหยิบมันขึ้นมาก่อนจะเดินไปนั่งลงบนโซฟาในห้อง อ่านตัวหนังสือเหล่านั้นอย่างตั้งใจทีละบรรทัดๆ ในนั้นบอกเรื่องราวของคนที่เขาอยากรู้เอาไว้อย่างละเอียด ปากหยักยกยิ้มอย่างพอใจกับข้อมูลที่ได้รับ ร่างสูงลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนสาวเท้ากลับไปโต๊ะทำงานอีกครั้ง แล้วสายตาก็เจอกับกระดาษใบเล็กวางอยู่ ชางมินมองอย่างสงสัยตัดสินใจหยิบขึ้นมาดู ตัวอักษรที่พิมพ์อยู่บนกระดาษทำเอาร่างสูงนึกอย่างตบรางวัลให้กับคนสนิทที่รู้ใจเขาไปเสียทุกอย่างจริงๆ
ในขณะที่ยิ้มอย่างสมใจที่อะไรๆก็ดูจะเป็นไปอย่างที่คาด แต่บนเครื่องบินลำใหญ่ที่กำลังมุ่งหน้าสู่กรุงปารีสของฝรั่งเศสกลับดูเงียบผิดปกติ ไม่มีแม้คำพูดสักคำหลุดออกจากริมฝีปากตั้งแต่ที่รถคนหรูแล่นออกจากบ้านตระกูลชิม ซีวอนได้แต่เฝ้ามองอยากปลอบอยากพูดอะไรซักอย่างให้น้องชายได้รู้สึกดีขึ้น แต่ซีวอนก็รู้ดีว่าสิ่งที่คิดจะทำมันเปล่าประโยชน์ เพราะตอนนี้คนที่จะทำสิ่งเหล่านี้ได้ไม่ใช่พี่ชายอย่างตัวเองอีกต่อไป ซีวอนได้แต่หวังว่าชางมินจะฉลาดพอในสิ่งที่เขาเรียกร้อง เก่งพอที่จะจัดการมันได้ และรวดเร็วพอที่จะทำให้ใครคนที่นั่งอยู่ข้างเขาในตอนนี้ยิ้มออกมาได้โดยไว
หลังจากจัดการเคลียร์งานที่เกาหลีเสร็จชางมินรีบขึ้นเครื่องบินตรงมายังอังกฤษ เพราะคนที่จะแก้เรื่องยุ่งๆได้ก็มีแต่เจ้าของเรื่องเท่านั้น ชางมินได้แต่ส่ายหน้าระอาใจกับคู่รักคู่นี้ รักกันมาก็นานทำไมถึงเวลาอย่างนี้ถึงไม่ยอมคุยกัน เขาไม่อยากเชื่อเรื่องที่คยูฮยอนไปสืบมาเท่าไหร่ คิดแล้วก็กลุ้ม...เฮ้อ...ป่านนี้มินโฮคงไปถึงปารีสแล้วสินะ มินโฮของเขาจะทำอะไรอยู่นะ...ชักคิดถึงแล้วนะ แต่ก็เอาเถอะฝรั่งเศสกับอังกฤษก็ไม่ได้ไกลกันสักเท่าไหร่ รีบจัดการคนทางนี้ให้เสร็จจะได้ไปรับกลับบ้านเสียที
รถที่ถูกส่งไปรับคุณชายเล็กของบ้านเคลื่อนตัวผ่านประตูรั้วสูงใหญ่ ทันทีที่รถจอดสนิทชายสูงวัยแต่ดูภูมิฐานรีบเดินเข้ามาเปิดประตูให้กับคนสำคัญของบ้าน สาวใช้หลายสิบชีวิตยืนเรียงแถวรอต้อนรับอย่างเป็นระเบียบ ทำเอาร่างสูงที่เพิ่งลงจากรถขมวดคิ้วอย่างไม่สู้จะชอบใจนัก กับความมากพิธีอะไรแบบนี้
“อัลเบิร์ต...ผมว่าผมเคยบอกแล้วนะว่าเวลาที่ผมมาไม่ต้องทำอะไรแบบนี้”ชางมินติงไปนิดๆ กับการทำอะไรเอิกเกริก แต่ชายนามอัลเบิร์ตกลับยิ้มน้อยๆ พร้อมกับมอบคำตอบที่ร่างสูงไม่อาจแย้งได้
“ครับ แต่ท่านแจจุงบอกว่าต้องทำอะไรนี้ครับ”
“ช่างเถอะ แล้วพวกพี่ๆไปไหนกันหมดบ้านเงียบเชียว”ชางมินก้าวนำเข้าบ้านโดยอัลเบิร์ตคุณพ่อบ้านเดินมาติดๆ
“ทีไทม์ครับ อยู่ที่สวนหลังบ้าน”
“อะไรกันเห็นชาอุ่นๆดีกว่าน้องชายตัวเอง ผมควรจะน้อยใจดีมั้ยเนี่ย”แม้คำพูดจะดูตัดพ้อแต่กลับมีรอยยิ้มแต้มอยู่เต็มใบหน้า ก่อนจะเดินตามทางเดินที่ทอดตัวสู่สวนดอกไม้หลังบ้าน
“ฮีนิม”
“หืม ว่าไงแจจุง”คนทึ่กำลังจิบชาไปพร้อมๆกับดื่มด่ำความสวยงามของสวนดอกไม้หันมาตามเสียงเรียก
“......................”
“อะไร เรียกแล้วไม่พูดแต่มองหน้าเนี่ยหาเรื่องฉันหรือไงกัน”
“เมื่อไหร่จะกลับปารีส”แจจุงพูดพลางมองฮีชอลด้วยสีหน้าจริงจัง แต่ฮีชอลกลับเลือกที่จะมองข้ามทำเป็นไม่เห็นมัน
“ฉันเพิ่งมาได้ไม่กี่วันจะรีบไล่ไปไหนกัน เสียใจนะ ชิ”พ้อออกมาไม่จริงจังนัก
“นายรู้ว่าฉันหมายถึงอะไรฮีนิม”น้ำเสียงเรียบนิ่งห่างไกลคำว่า”เล่น” ทำให้คนโดนกดดันกลายๆ เสตาหลบไม่ยอมสบตาน้องชายที่กำลังตีหน้านิ่งแกมดุ ก่อนจะยิ้มเจื่อนหัวเราะกลบเกลื่อนความจริงที่ตัวเองก็รู้อยู่แก่ใจดี
“ฮะๆ ก็หมายความว่านายไม่อยากให้ฉันอยู่ที่นี่ด้วยนะสิจะอะไรซะอีกล่ะ ฉันรู้หรอกว่านายอยากมีเวลาเป็นส่วนตัวกุ๊กกิ๊กกับแฟนบ้าง อันนี้ฉันก็เข้าใจอยู่เอาเป็นว่าฉันจะไม่รบกวนเวลาแฟนนายมะ...”
เพล้ง!!
“คิมฮีชอล!!!”เสียงชุดถ้วยชากระเบื้องเนื้อดีราคาแพงแตกกระจายเกิดพร้อมๆกับขีดความอดทนของใครอีกคนหมดลง
“...!?...”
“เลิกทำตัวแบบนี้ซักที เลิกทำเหมือนคนชอบวิ่งหนีปัญหาเสียที!!”
“ฉันไม่ได้หนี!”
“ไม่ได้หนี? แล้วที่มานั่งอยู่ตรงนี้มันคืออะไร”
“ฉัน..!?”เมื่อถูกรู้ทันฮีชอลได้แต่อ้ำอึ้ง ในตอนที่กำลังคิดหาคำตอบให้กับตัวเองและแจจุง คนที่แอบฟังมาพักหนึ่งก็เดินออกมาตั้งคำถามให้พี่ชายคนโตได้คิดต่อ
“พี่ไม่ได้หนีหรอก แค่หลบหน้าเท่านั้นเองใช่มั้ยครับ”
“ชางมิน...”
“แล้วมันต่างกับหนีตรงไหน”แจจุงเสหน้าหนีพร้อมกับบ่นงุบงิบให้กับคำแก้ตัวที่น้องชายคนเล็กคิดขึ้นมา
“มาได้ไงไม่เห็นบอกพี่ล่วงหน้าเลย”ฮีชอลเดินเข้ามากอดน้องชายที่ไม่ได้เจอกันนาน ไม่สนใจคำค่อนขอดประชดประชันของน้องคนรอง
“ถ้าบอกก่อนก็ไม่ใช่เซอร์ไพร์สิครับ”ชางมินตอบ
“เฮ้อ...มัวแต่อ้อนพี่อยู่นั่นล่ะชางมิน พี่ว่านายรีบๆพูดธุระซักทีเถอะรีบอยู่ไม่ใช่หรือไง”แจจุงยกแขนเรียวขึ้นกอดอกส่ายหน้าให้กับสองพี่น้องที่ถึงนานๆจะเจอกัน แต่พอกันทีไรก็เป็นแบบนี้ทุกทีสิน่า พลางเร่งให้น้องชายพูดเรื่องของตัวเอง
“ฮ่าๆ ครับๆ พูดแล้วๆ”ชางมินหัวเราะกับท่าทางของพี่คนรอง
“ฮีชอล...ผมรู้ว่าทำไมพี่ถึงกลับมาอังกฤษ มันดีแล้วหรือครับที่พี่หนีมาไม่ยอมพูดกันให้รู้...”
“พอที!! ถ้าจะพูดเรื่องผู้ชายเห็นแก่ตัวคนนั้น!!”ร่างบางที่อยู่ในอ้อมกอดของชางมินตวาดลั่นไม่ยอมให้ชางมินได้ทันพูดจบประโยค ทั้งยังผลักน้องชายออกห่างตัว
“ฮีชอล...”
“ชอบคิดแทนพี่ตลอด ไม่เคยถามว่าพี่รู้สึกยังไง ต้องการหรือเปล่า แม้แต่เรื่องรับเด็กมาเลี้ยง สำคัญขนาดนั้นก็ยังไม่คิดจะถามจะบอกพี่ซักคำ...ฮึก...”
“..................................”
“ทำไมถึงไม่ถามสักคำว่าพี่พร้อมที่จะทำหน้าที่แม่ พร้อมที่จะดูแลใครหรือเปล่า ...ฮึก...ก็ไม่”ชางมินดึงพี่ชายเข้ามากอดลูบหลังปลอบ นานแล้วที่ไม่ได้เห็นฮีชอลเป็นแบบนี้ เห็นแล้วก็ชวนให้สงสารอยู่ไม่น้อย
“แล้วพี่คุยกับพี่ซีวอนแล้วหรือยัง”
“ พี่บอกเขา แล้วเราก็ทะเลาะกัน เขาเอาแต่คิดว่าพี่ไม่อยากมีลูก ทั้งๆพี่แค่ไม่อยากได้เด็กที่เห็นหน้าแล้วรู้สึกเอ็นดู”
“...............................”
“อยากได้เด็กที่ทำให้พี่รัก แค่ได้เห็นหน้าเขาพี่ก็มีความสุขนั่นต่างหาก ไม่ใช่เด็กคนไหนก็ได้ที่ซีวอนไปยืนเลือกๆมา ทั้งๆที่มันก็แค่นี้ ทำไมเขาไม่ยอมเข้าใจอะไรเลย...ฮึก...พี่เสียใจนะ....โฮฮฮฮ”พูดจบก็ปล่อยโฮเหมือนเด็กๆ ฮีชอลก็ยังเป็นฮีชอล ถ้าไม่พอใจอะไรแค่มีคนโอ๋เดี๋ยวก็พูดออกมา พี่ซีวอนเองก็รู้จุดนี้ดีอยู่แล้ว ยังให้เขามากล่อม นี่เขาเหมือนพวกว่างงานมากนักหรือไงกันนะ ถึงจะคิดอย่างนั้นสองมือกลับไม่ยอมหยุดลูบหน้าลูบหลังปลอบโยนคนที่กำลังร้องไห้อยู่ในอ้อมกอด
“ถ้าอย่างนั้นพี่ก็ต้องบอกให้พี่ซีวอน เขาสิครับ”
“แล้วเขาจะฟังหรือ เขาต้องโกรธพี่อยู่แน่ๆ”
“ไม่หรอกครับ ถ้าพี่พูดผมว่าพี่ซีวอนต้องเข้าใจแน่ๆ พี่กลับปารีสนะครับผมจะไปเป็นเพื่อนพี่เอง”เหมือนจะลังเลแต่ท้ายที่สุดแล้วฮีชอลก็พยักหน้าตกลง ชางมินหันไปยิ้มให้กับพี่ชายคนรองบอกให้รู้ว่า...หลอกเด็กสำเร็จแล้ว!!...
หลังจากเหยียบแผ่นดินอังกฤษยังไม่ครบยี่สิบสี่ชัวโมงชางมินก็ต้องขึ้นเครื่องเพื่อบินต่อไปฝรั่งเศสอย่างไม่ให้เสียเวลา แม้ฮีชอลจะออกปากขอเวลาเตรียมใจที่จะไปเจอกับคนรัก ชางมินให้เหตุผลกับพี่ชายว่าควรจะรีบเคลียร์ทุกอย่างให้จบโดยเร็วดีกว่าจะปล่อยให้ค้างคาไปนานกว่านี้ ทั้งยกเอาเรื่องที่ซีวอนร้อนใจอยากเจอ กระทั่งตามไปให้ขอให้เขาช่วยถึงเกาหลี แค่นี้ก็ทำให้คิมฮีชอลเก็บกระเป๋าใบโตขึ้นเครื่องบินมากับน้องชายโดยดี
“ฮีชอล...เป็นอะไรหรือ?? นั่งเงียบเชียว”ตั้งแต่ขึ้นเครื่องฮีชอลก็เอาแต่นั่งเงียบจนชางมินอดห่วงไม่ได้
“เปล่า แค่กำลังคิด…”ฮีชอลตอบแต่ไม่ได้หันมามองคู่สนทนา
“คิด?? เรื่องพี่ซีวอนหรือ??”
“เปล่า...พี่กำลังคิดว่า...คนที่ทั้งเก่งแล้วก็ฉลาดอย่างนาย ทำไม...ถึงหลอกพี่ด้วยแผนตื้นๆแบบนี้”
“........................”
“แค่จะไปรับเด็กกลับบ้านไปเองก็ได้นี่นา ไม่เห็นต้องหลอกให้พี่ไปเพื่อนเลย”ฮีชอลหันมามองน้องชายด้วยแววตารู้ทัน คำพูดติดตลกทำเอาชางมินหลุดหัวเราะ
“ฮ่าๆ พี่ก็รู้อยู่แล้วทำไมต้องลำบากให้ผมมาตามด้วยล่ะ พี่เองก็อยากได้เพื่อนกลับบ้านเหมือนกันนั่นแหละ”เมื่อต่างคนต่างรู้ทันกันก็ไม่มีอะไรให้ปฏิเสธ สองพี่มองหน้ากันก่อนจะปล่อยเสียงหัวเราะลั่น
ตั้งแต่เครื่องบินลงจอดจนถึงตอนนี้รถที่ถูกส่งมารับฮีชอลกับชางมินกำลังแล่นอยู่บนถนนมุ่งสู่คฤหาสน์หลังงามของตระกูลชเว ร่างสูงยกนาฬิกาข้อมือแทบจะทุกห้านาที ฮีชอลที่เห็นอย่างนั้นก็นึกขำ ไม่เคยเห็นชางมินรีบร้อนอะไรซักอย่าง ทำอะไรก็สุขุมเยือกเย็นมาตลอด แต่พอเป็นเรื่องของมินโฮเข้าหน่อยกลับหลุดมาดเสียได้ ก็เข้าอยู่หรอกนะว่ารอมาหลายปี แต่อีกไม่กี่นาทีก็จะได้เจอกันแล้วแท้ๆ....ความรักทำให้คนเป็นบ้าได้จริงๆ....นั่งคิดขำๆกับท่าทางของน้องชาย
“ฮีนิม...พี่ยิ้มอะไรของพี่”และดูเหมือนเจ้าตัวจะรับรู้ได้ว่าถูกมองจึงหันกลับมาถาม
“มีธุระที่ไหนหรือ?? ชางมิน”ฮีชอลไม่ตอบแต่ถามกลับ
“เปล่านี่ ทำไมพี่ถามอย่างนั้นล่ะ”
“ก็พี่เห็นเราเอานั่งมองนาฬิกาจนมันจะสึกอยู่แล้ว เลยนึกว่ามีธุระที่ไหน พี่จะได้ให้คนรถเขาไปส่ง ไม่ต้องไปกับพี่ก็ได้นะ”
“เห๋...ธุระของผมก็อยู่ที่ที่กำลังจะไปนี่แหละ ว่าแต่ทำไมรถมันวิ่งช้าอย่างนี้??”
“ห๊ะ...ฮ่าๆ เป็นเอามากนะเรา เพิ่งรู้จริงๆนี่แหละว่าความรักมันทำให้คนเป็นบ้าได้จริงๆ”
“แต่ผมว่ายังมีคนที่บ้ามากกว่าผมอีกนะ”
“จริง?? อยากเห็นจังว่าคนๆนั้นจะหน้าตาเป็นแบบไหน”
“เดี๋ยวไปถึงพี่ก็ได้เห็นเองนั่นแหละ”
ตั้งแต่ได้รับโทรศัพท์ทางไกลจากอังกฤษว่าได้ส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนมาแล้ว แถมยังโดนบ่นอีกยาวเยียด มาถึงตรงนี้ซีวอนเชื่อแล้วที่ฮีชอลเคยบอกว่าคิมแจจุงขี้บ่นที่สุดในโลก ทั้งๆที่เขามีศักดิ์เป็นพี่เขยแท้ยังโดนขนาดนี้ ใครได้ไปเป็นเมียซวยตาย แต่ถึงอย่างไรก็ต้องขอบคุณแจจุงละนะที่คอยช่วยเหลือเขาเรื่องฮีชอลมาตลอด แล้วความคิดที่กำลังนินทาน้องเมียอยู่ก็ต้องหยุดลงเมื่อรถที่ถูกส่งไปสนามบินเลี้ยวเข้าประตูสูงใหญ่ของบ้านมา คนที่ชะเง้อคอรอมาครึ่งค่อนคืนถลาออกไปรับทันทีที่รถจอดสนิท ประตูรถที่เปิดออกและคนที่ก้าวลงจากรถคือคิมฮีชอล คนที่ชเวซีวอนรออยู่เห็นอย่างนั้นร่างก็รีบปรี่เข้าไปหาและทำสิ่งที่ใครไม่คาดคือ...การที่ซีวอนคุกเข้าลงกับพื้นแล้วกอดฮีชอลแน่น
“ฮีนิม!! คุณกลับมาแล้ว”ใบหน้าหล่อๆแนบซบกับหน้าท้องแบนราบ พร้อมทั้งถูไถอย่างออดอ้อน การกระทำที่ทำเอาคนถูกทำหน้าเลิกลั่ก หน้าแดงเพราะอายสายตาของขบวนคนรับใช้ที่ยืนรอต้อนรับ
“ซะ...ซีวอน”
“เรื่องลูกผมขอโทษที่ไม่เคยถามความรู้สึกของคุณก่อน อย่าหนีผมไปแบบนี้อีกนะที่รัก ผมขอโทษ!!”
ในขณะที่พี่เขยกำลังคร่ำครวญขอคืนดีกับพี่ชายตัวเอง ชางมินใช้โอกาสนั้นกระซิบถามคุณแม่บ้านถึงคุณหนูของบ้าน ได้คำตอบว่ามินโฮไม่รู้ว่าชางมินจะมา และมินโฮก็เข้านอนไปนานแล้ว คุณแม่บ้านจะให้สาวใช้นำไปห้องพักที่เตรียมไว้ให้ ชางมินปฏิเสธแต่ขอให้พาไปที่ห้องของคนที่กำลังหลับอยู่แทน
ร่างสูงเปิดและปิดประตูให้เบาที่สุดเท่าจะทำได้ด้วยกลัวว่าเจ้าของห้องจะตื่นจากนิทราอันแสนสุข ขายาวก้าวมาหยุดอยู่ข้างเตียงหลังใหญ่ที่มีเด็กน้อยของเขานอนหลับอยู่ ดวงหน้าที่ชางมินไม่ได้เห็นมามากกว่ายี่สิบสี่ชั่วโมง เวลาที่ไม่ได้นานอะไรนักหนาแต่เขากลับคิดถึงและโหยหา นาทีนี้คนๆนั้นอยู่ห่างแค่เพียงเอื้อมมือออกไปเท่านั้น เขาจะได้เด็กน้อยมาอยู่ในอ้อมแขน แล้วเขาก็ไม่คิดจะให้เวลาผ่านไปอย่างเสียเปล่า ร่างสูงหย่อนกายลงนอนเคียงข้างก่อนรั้งตัวอุ่นๆของเด็กน้อยเข้ามากอด ร่างบางขยับตัวหยุกหยิกเข้าหาร่างสูงมากขึ้น
“...ชาง..มิน”เสียงละเมองึมงำเบาๆที่ได้ยิน แค่นี้...แค่รู้ว่าในฝันของเด็กน้อยมีเขาอยู่ แค่นี้...หัวใจก็พองแน่นคับอก ความยินดีที่รู้สึกได้เกิดขึ้นเพราะความรักที่เขามีต่อคนที่นอนทอดกายอยู่ตรงนี้สินะ
ปากหยักระบายยิ้มบางเบา ชางมินกดจูบลงไปบนกลุ่มผมนุ่มก่อนที่เสียงทุ้มจะกระซิบเรียกให้ผู้ที่อยู่ในอ้อมกอดตื่นจากห้วงของความฝัน เพื่อมาพบกันในโลกของความจริง และ...ให้เด็กน้อยของเขาได้ตื่นเพื่อมาฟังสิ่งที่เขาจะบอกว่า...คิดถึงอีกฝ่ายมากแค่ไหน
“มินโฮ~ ตื่นเถอะคนดี”
“งื้ม...”
“หึหึ...เด็กขี้เซาตื่นได้แล้ว”ชางมินอดขำไม่ได้กับท่าทางน่ารักๆ ที่ขยับหนีอย่างรำคาญ ร่างสูงกระชับวงแขนให้แน่นขึ้นอีก แล้วเพิ่มเสียงเรียกให้ดังขึ้น...ได้ผล เปลือกตาบางขยับก่อนจะค่อยๆลืมขึ้นสบกับดวงตาคมที่จ้องมองอยู่ก่อนแล้ว มินโฮกระพริบสองสามครั้ง ตากลมโตรี่ปรือด้วยความง่วงงุนยังคงมีอยู่ และพร้อมที่จะหลับลงทุกเมื่อ
“อะไรกัน พี่อุตส่าห์ข้ามน้ำข้ามทะเลมาหา เด็กขี้เซาก็ไม่คิดจะตื่นมาคุยกันซักนิดเลยหรือ??”
“...............................”
เรียกก็แล้วประชดก็แล้วคนที่หลับก็ไม่มีทีท่าว่าจะตื่น ชางมินก็ได้แต่ถอนหายใจจนคิดจะยอมแพ้แล้วหลับตามคนขี้เซาไป แต่เหมือนจะคิดอะไรดีๆออก
“ถ้างั้นขอจุ๊บราตรีสวัสดิ์หน่อยนะคนดี ^^”
ใบหน้าคมเลื่อนเข้าใกล้จนได้กลิ่นลมหายใจอุ่น ปากหยักกดจูบแรกลงที่หน้าผากมนแล้วลากไล้จูบที่สองที่จมูกโด่งสวยและจบลงที่ริมฝีปากอิ่ม แทะเล็มพอให้รู้สึกวาบหวาม ก่อนจะแทรกลิ้นร้อนเข้าสู่โพรงปาก กวาดต้อนลิ้นเล็กที่ซ่อนอยู่ภายใน จูบบางเบาในตอนแรกกลับเร่าร้อนขึ้นตามอารมณ์ จูบอ่อนหวานแต่ทว่าเร่าร้อนเรียกเสียงครางเครือจากลำคอเรียวยาวทั้งๆที่ยังหลับ จูบเนิ่นนานยังคงเป็นไปจวบจนร่างสูงสัมผัสได้ถึงแรงบีบที่ไหล่ถึงได้ผละออกจากจูบหอมหวานนั้นอย่างเสียดาย
“...แฮ่ก..แฮ่ก...”ปากอิ่มที่ตอนนี้มันทั้งแดงกล่ำและบวมเจ่อ อ้าออกหอบโกยเอาอากาศเข้าสู่ปอด ช่างเป็นภาพที่สวยงามสำหรับผู้เฝ้ามองอยู่
“ตื่นแล้วหรือ...เด็กขี้เซา”
“...พี่...ชางมิน”มินโฮเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างเพ้อๆ เพราะตอนที่งัวเงียตื่นขึ้นมา คิดว่าตัวเองยังคงอยู่ในความฝัน
“................................”มือเรียวลูบใบหน้าของคนที่อยู่ในความคิดทั้งยามหลับและยามตื่น อย่างต้องการพิสูจน์ว่านี่ไม่ใช่ความฝันอย่างที่ผ่านมา
“พี่ชางมินจริงๆใช่มั้ยฮะ”
“ใช่...พี่ชางมิน...ของมินโฮไง”
“ดีใจจัง”...ดีใจจนไม่รู้จะพูดอะไรได้แต่กอดร่างสูงแน่นขึ้นไปอีก ซุกหน้าลงกับอกกว้างฟังเสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะเดียวกัน...ในที่สุดพี่ก็มาซักที...
“หืม?? แค่นี้เองหรือ ไม่ได้เจอกันตั้งเกือบสองวัน พูดแค่นี้เองหรือ”
“...ก็ดีใจ...แล้วจะให้พูดอะไรล่ะ”
“อืมม...ก็...อย่างเช่นมินโฮคิดถึงพี่ชางมินมากๆเลยนะฮะ...”
“...บ้า!...ใครจะพูดกัน”
“ฮ่าๆ งั้น...ถ้ามินโฮไม่พูด...พี่จะพูดมันเอง”
“...................................”
“พี่คิดถึงมินโฮนะครับ”
เสียงกระซิบแผ่วเบาแต่กลับก้องไปทั้งหัวใจคนฟัง ความสุขเอ่อล้น...ที่สุดแล้วเราก็กลับมาอยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน อากาศที่เหน็บหนาวข้างนอก ไม่ได้ทำให้คนสองคนรู้สึกหนาวสักนิด เพราะความรักที่ทำให้ใจอบอุ่นและแผ่ซ่านออกมาห่อหุ้มกายเอาไว้
.............และความรักของเราจะยังคงอยู่ตราบนานเท่านาน...........
“ย๊าา!! ชเวซีวอน ลุกขึ้นแล้วเลิกกอดฉันแบบนี้ซักที นายไม่อายแต่ฉันอายนะ!!”
“ฮีนิม...ผมรักคุณณณณณณณ”
..........รู้แล้วหรือยังว่าใครบ้ากว่าใคร ฮ่าๆๆๆๆ..........
FIN.
No comments:
Post a Comment